โมเด็มจะตอบสนองคำสั่งต่าง ๆ ด้วยรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งด้วยคำว่า OK ซึ่งหมายความว่า โมเด็มเข้าใจและสามารถปฏิบัติตามคำสั่งนั้นหรือด้วยคำว่า ERROR ซึ่งหมายความว่า โมเด็มไม่เข้าใจคำสั่งนั้นหรือผู้ใช้พิมพ์คำสั่งผิด
ตรวจสอบให้โมเด็มอยู่ในโหมดคำสั่งเสมอเมื่อป้อนคำสั่งต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ชุดลำดับเอสเคปแบบออนไลน์ สำหรับคำสั่งที่ป้อนเข้าสู่โมเด็มในขณะที่โมเด็มอยู่ในโหมดออนไลน์ จะกลายเป็นข้อมูลและถูกส่งไปยังโมเด็มปลายทางในรูปของข้อมูลแทน
คำสั่งบางคำสั่งจะนำมาใช้ร่วมกับรีจีสเตอร์-S.
แทรกระยะเว้นวรรคก่อนและหลังชุดลำดับเอสเคปเพื่อป้องกันโมเด็มตีความชุดลำดับเอสเคปว่าเป็นข้อมูล ใช้รีจีสเตอร์-S เป็น S12 เพื่อกำหนดความยาวของระยะเว้นวรรค
A/ คือ ซ้ำคำสั่งสุดท้าย
สำหรับคำสั่ง A/ นั้นมีไว้สำหรับสั่งการให้โมเด็มซ้ำสตริงคำสั่งสุดท้าย โมเด็มจะปฏิบัติตามคำสั่งทันทีที่พิมพ์เครื่องหมาย / ไม่จำเป็นต้องป้อนคำเติมหน้าคำสั่ง AT หรือกดปุ่ม Enter
การพิมพ์ ATA ทำให้โมเด็มพร้อมที่จะยกหูโทรศัพท์ขึ้นเพื่อติดต่อโมเด็มปลายทางและตอบสนองต่อสายเรียกเข้าด้วยการสร้างสัญญาณพาหะและเริ่มกระบวนการกำหนดสัญญาณควบคุม(เสียงกระชั้นถี่ของโมเด็ม) คำสั่งนี้ต้องเป็นเพียงคำสั่ง ๆ เดียวหรือคำสั่งสุดท้ายในสายคำสั่ง
หากขั้นตอนการกำหนดสัญญาณควบคุมประสบความสำเร็จและมีการเชื่อมต่อเกิดขึ้น ข้อความ CONNECT จะปรากฏ หากไม่สามารถตรวจพบสัญญาณพาหะได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดในรีจีสเตอร์-S ที่ตั้งเป็น S7 รหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งด้วยคำว่า NO CARRIER จะปรากฏ
B0
|
ใช้มาตรฐาน ITU V.22 ที่ 1200bps B0 เลือกมาตรฐาน ITU V.22 ที่ 1200bps และมาตรฐาน ITU V.21 ที่ 300bps
|
B1
|
ใช้มาตรฐาน Bell 212A ที่ 1200bps B1 เลือกมาตรฐาน Bell 212A ที่ 1200bps และมาตรฐาน Bell 103J ที่ 300bps
|
B2
|
ไม่เลือกช่องรีเวิร์ส V.23
|
B3
|
เลือกช่องรีเวิร์ส V.23
|
B15
|
เลือก V.21 เมื่อโมเด็มทำงานที่ 300bps (เหมือนกับ B0)
|
B16
|
เลือกมาตรฐาน Bell103J เมื่อโมเด็มทำงานที่ 300bps (เหมือนกับ B1)
|
C0 | สัญญาณพาหะสำหรับส่งข้อมูลปิดตลอดเวลา (ไม่สนับสนุน)
|
C1 | สลับสัญญาณพาหะสำหรับส่งข้อมูลกลับมาที่ปกติ
|
ผู้ใช้สามารถใช้คำสั่งหมุนหมายเลขโทรศัพท์ได้สำหรับการหมุนระบบพัลส์ (โรตารี่) หรือการหมุนด้วยสัญญาณโทน ตัวเลขและตัวอักษรสำหรับการโทรคือ 0 - 9 A B C D # * อักษร A B C D และสัญลักษณ์ # และ * แทนคู่สัญญาณพิเศษและนำมาใช้เฉพาะเมื่อเชื่อมต่อโทรศัพท์ด้วยสัญญาณโทน แต่โมเด็มจะไม่สนใจตัวอักษรและสัญลักษณ์เหล่านี้เมื่อโทรด้วยระบบพัลส์ บางประเทศจำกัดหรือห้ามใช้ตัวอักษรเหล่านี้บางตัว
ตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์
โมเด็มจะจดจำตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์เฉพาะเมื่อตัวแปลงเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของสตริงการโทรที่ผู้ใช้ป้อนหลังคำสั่ง ATD ตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ที่เป็นไปได้ประกอบด้วย:
L คือ โทรซ้ำหมายเลขสุดท้าย
โทรซ้ำหมายเลขสุดท้ายหากใช้หมายเลขดังกล่าวเป็นตัวอักษรตัวแรกต่อจากคำสั่ง ATD ไม่เช่นนั้นโมเด็มจะไม่สนใจ
P คือ วิธีหมุนหมายเลขโทรศัพท์แบบพัลส์
ตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ด้วย P จะนำมาใช้ร่วมกับคำสั่งหมุนหมายเลขโทรศัพท์เพื่อแนะนำให้โมเด็มหมุนหมายเลขโทรศัพท์ที่ตามมาด้วยระบบพัลส์
S=n คือ หมุนหมายเลขโทรศัพท์ที่จัดเก็บไว้
ตัวแปลง S จะแนะนำให้โมเด็มหมุนหมายเลขโทรศัพท์ที่จัดเก็บไว้ด้วยการใช้คำสั่ง AT&Zn=x คำสั่งเพื่อหมุนหมายเลขโทรศัพท์ที่จัดเก็บไว้คือ ATDS=n โดยที่ n แทนตำแหน่งการจัดเก็บหมายเลขโทรศัพท์เป็น 0 หรือ 1 ยกตัวอย่างเช่นคำสั่ง ATD P S=1 เท่ากับเป็นการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ที่จัดเก็บไว้ด้วยระบบพัลส์มายังตำแหน่งการจัดเก็บหมายเลขโทรศัพท์ตำแหน่งที่ 1
, คือ หน่วงเวลาการหมุนตัวอักษรตัวถัดไป
เมื่อรวมตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ด้วยเครื่องหมายจุลภาค (,) ไว้เป็นส่วนหนึ่งของสตริงการโทรต่อจากคำสั่ง ATD โมเด็มจะหยุดรอก่อนจะหมุนตัวอักษรตัวถัดไปในสตริงการโทร รีจีสเตอร์-S เป็น S8 จะกำหนดระยะเวลาในการหยุดรอ
ตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ด้วยเครือข่ายจุลภาค (,) มักถูกแทรกหลังตัวเลข (มักเป็นเลข 9) บ่อยครั้ง เพื่อรับสายนอกจากชุมสายโทรศัพท์ภายใน (PBX) เพื่อปล่อยให้เสียงสัญญาณโทนดังขึ้นช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนที่โมเด็มจะหมุนหมายเลขโทรศัพท์ ตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ด้วย W ใช้แทนเครื่องหมายจุลภาคได้
บางประเทศมีข้อจำกัดในเรื่องระยะเวลาที่โมเด็มจะหน่วงเวลาระหว่างที่หมุนหมายเลขโทรศัพท์
T คือ วิธีหมุนหมายเลขโทรศัพท์ด้วยสัญญาณโทน
ตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ด้วย T จะใช้ร่วมกับคำสั่งหมุนหมายเลขโทรศัพท์เพื่อแนะนำให้โมเด็มหมุนหมายเลขที่ตามมาด้วยสัญญาณโทน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่คำสั่ง ATT
W คือ รอสัญญาณโทนให้หมุนหมายเลขโทรศัพท์เป็นครั้งที่สอง
ตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ด้วย W แนะนำให้โมเด็มหยุดรอเสียงสัญญาณโทนก่อนหมุนตัวอักษรที่เหลือในสตริงการโทร
! คือ วางหูโทรศัพท์ชั่วคราว
ตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ด้วยเครื่องหมาย ! ทำหน้าที่เป็นสัญญาณสลับ (หรือสัญญาณวางหูโทรศัพท์ชั่วคราว) ตัวแปลงนี้ทำให้โมเด็มวางสาย (หรือเข้าสู่สภาวะวางหูโทรศัพท์) นานประมาณ 0.5 วินาทีหลังจากนั้นจึงกลับเข้าสู่สภาวะพร้อมหมุนหมายเลขโทรศัพท์ (ระยะเวลาที่โมเด็มจะเข้าสู่สภาวะวางหูโทรศัพท์ชั่วคราวจะแตกต่างกันในแต่ละประเทศ)
@ คือ รอระยะเวลาที่ไม่มีการรับสาย
ตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ด้วยเครื่องหมาย @ ในสตริงการโทรจะแนะนำให้โมเด็มรอระยะเวลาที่ไม่มีการรับสายนาน 5 วินาทีหลังจากหมุนหมายเลขโทรศัพท์ หากไม่พบสัญญาณเงียบ โมเด็มจะส่งรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มด้วยคำว่า NO ANSWER ให้กับผู้ใช้
; คือ กลับไปยังโหมดคำสั่งหลังจากหมุนหมายเลขโทรศัพท์
ตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ด้วยเครื่องหมายอัฒภาค (;) จะใช้ได้เฉพาะตรงส่วนท้ายสุดของสายคำสั่ง ก่อนกดปุ่ม Enter ตัวแปลงนี้แนะนำให้โมเด็มกลับไปยังโหมดคำสั่งทันทีหลังจากหมุนหมายเลขโทรศัพท์โดยไม่ตัดการเชื่อมต่อกับโมเด็มระยะไกล
^ คือ ปิดการทำงานของระบบส่งข้อมูลด้วยสัญญาณโทน
ตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ด้วยเครื่องหมาย ^ ในสตริงการโทรจะทำให้สัญญาณโทนเพื่อส่งข้อมูลสำหรับสายปัจจุบันไม่ทำงาน (สัญญาณโทนเพื่อหมุนหมายเลขโทรศัพท์จะเปิดทำงานโดยอัตโนมัติในหลายประเทศ) ตัวแปลงนี้ใช้ไม่ได้ในทุกประเทศ
$ คือ การตรวจหาสัญญาณเพื่อโทรด้วยบัตรเครดิต
ตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท็ด้วยเครื่องหมาย $ ในสตริงการโทรแนะนำให้โมเด็มรอเสียงสัญญาณ "บอง" เพื่อโทรด้วยบัตรเครดิตก่อนหมุนตัวอักษรที่เหลือในสตริงการโทร
คำสั่ง ATEn โดยที่ n แทน 0 หรือ 1 ทำหน้าที่กำหนดว่า ควรแสดง (สะท้อน) คำสั่งที่คุณป้อนด้วยแป้นคีย์ให้กับโมเด็มในโหมดคำสั่งไว้บนหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือไม่
E0 | ไม่ต้องแสดงคำสั่งบนคอมพิวเตอร์
|
E1 | แสดงคำสั่งบนคอมพิวเตอร์ (ค่าตั้งต้น)
|
คำสั่ง ATHn จะวางสายโมเด็มหรือเตรียมโมเด็มให้พร้อมสำหรับหมุนหมายเลขโทรศัพท์
ATH0 | ทำให้โมเด็มวางหูโทรศัพท์ (ค่าตั้งต้น)
|
ATH1 | ทำให้โมเด็มยกหูโทรศัพท์ขึ้น (ห้ามใช้คำสั่งนี้ในบางประเทศ)
|
คำสั่ง ATI มีตัวเลือกมากมายซึ่งอาจนำมาใช้เพื่อแนะนำให้โมเด็มแสดงข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับโมเด็ม
I0
|
แสดงข้อมูลการแก้ไขชุดคำสั่งเฟิร์มแวร์ที่ทำหน้าที่ควบคุมโมเด็ม (เหมือนกับ 13)
|
I1 | คำนวณเช็คซัมของ ROM และแสดงข้อมูลส่วนนี้บน DTE (ตัวอย่างเช่น 12AB)
|
I2 | ตรวจสอบ ROM พร้อมทั้งคำนวณและตรวจทานเช็คซัม ก่อนจะรายงานด้วยคำว่า OK หรือ ERROR
|
I3 | แสดงข้อมูลการแก้ไขชุดคำสั่งเฟิร์มแวร์ของโมเด็ม
|
I12 | ส่งคืนรหัสประเทศ (ตัวอย่างเช่น อเมริกาเหนือ)
|
คำสั่ง ATLn โดยที่ n แทน 0, 1, 2, หรือ 3 ที่ปรากฏในข้อมูลส่วนนี้ เพื่อประโยชน์ในการอ้างอิงความเข้ากันได้เท่านั้น คอมพิวเตอร์ทำหน้าที่ควบคุมเสียงของลำโพงหน้าจอคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่โมเด็ม
คำสั่ง ATMn โดยที่ n แทน 0, 1, 2, หรือ 3 เปิดการทำงานหรือปิดการทำงานของระบบส่งสัญญาณเสียงจากโมเด็มไปที่ลำโพงคอมพิวเตอร์ (เพื่อให้เกิดเสียง ลำโพงคอมพิวเตอร์ต้องเปิดทำงานด้วย)
M0
|
เสียงลำโพงปิดอยู่ตลอดเวลา
|
M1
|
เปิดเสียงลำโพงจนกระทั่งตรวจพบสัญญาณพาหะ
|
M2
|
เสียงลำโพงเปิดเมื่อโมเด็มอยู่ในสภาวะพร้อมหมุนหมายเลขโทรศัพท์
|
M3
|
ปิดเสียงลำโพงขณะที่หมุนหมายเลขโทรศัพท์ หลังจากนั้นจึงเปิดเสียงจนกระทั่งตรวจพบสัญญาณพาหะ
|
คำสั่ง ATNn โดยที่ n แทน 0 หรือ 1 กำหนดว่าโมเด็มต้นทางควรจะแสดงให้ผู้ใช้ทราบถึงกระบวนการติดต่อเชื่อมโยงกับโมเด็มปลายทางหากความเร็วของโมเด็มปลายทางแตกต่างจากโมเด็มต้นทางหรือไม่
N0 | เมื่อทำหน้าที่สร้างการเชื่อมต่อหรือรับการเชื่อมต่อ สัญญาณการติดต่อเชื่อมโยงจะปรากฏเป็นสัญญาณมาตรฐานตามที่ระบุด้วยรีจีสเตอร์-S เป็น S37 และเมื่อผู้ใช้ได้เลือกตัวเลือกคำสั่ง ATBn ไว้แล้ว
|
N1
|
เมื่อทำหน้าที่สร้างการเชื่อมต่อหรือรับการเชื่อมต่อ สัญญาณการติดต่อเชื่อมโยงจะปรากฏเป็นสัญญาณมาตรฐานตามที่ระบุด้วยรีจีสเตอร์-S เป็น S37 และเมื่อผู้ใช้ได้เลือกตัวเลือกคำสั่ง ATBn ไว้แล้ว ในระหว่างกระบวนการกำหนดสัญญาณควบคุม โมเด็มจะถอยกลับมาที่ความเร็วต่ำลงได้หากผู้ใช้ต้องการ (ค่าตั้งต้น)
|
หากสลับโมเด็มมาที่โหมดคำสั่ง การพิมพ์ในคำสั่ง ATO0 จะทำให้โมเด็มกลับมาที่โหมดออนไลน์ขณะที่ยังเชื่อมต่ออยู่
O0
|
แนะนำให้โมเด็มออกจากโหมดคำสั่งออนไลน์และกลับไปที่โหมดข้อมูล (ดูรายละเอียดจากชุดลำดับเอสเคป +++ ใต้หัวข้อคำสั่งพิเศษ)
|
O1
|
การตั้งค่านี้คือ การป้อนคำสั่งรีเทรนก่อนย้อนกลับมาที่โหมดข้อมูลออนไลน์
|
O2
|
การตั้งค่านี้คือ การป้อนคำสั่งการติดต่อเชื่อมโยงก่อนย้อนกลับมาที่โหมดข้อมูลออนไลน์
|
คำสั่ง ATP แนะนำให้โมเด็มใช้ระบบพัลส์ (โรตารี่) ในการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ โหมดนี้ยังทำงานต่อไปสำหรับกระบวนการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ทั้งหมด เว้นแต่จะมีการป้อนคำสั่ง ATT หรือปรากฏตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ด้วย T ในสตริงการโทร
การตั้งค่าคำสั่ง ATQn โดยที่ n แทน 0 หรือ 1 ทำหน้าที่กำหนดว่ารหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็ม (เช่น OK, CONNECT, RING, NO CARRIER, และ ERROR) ควรปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือไม่
Q0
|
การแสดงรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มทำงาน
|
Q1
|
การแสดงรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มไม่ทำงาน
|
ดูที่ คำสั่งพิเศษ
คำสั่ง ATT แนะนำให้โมเด็มใช้สัญญาณโทนในการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ โหมดนี้ยังทำงานต่อไปสำหรับกระบวนการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ทั้งหมด เว้นแต่จะมีการป้อนคำสั่ง ATT หรือปรากฏตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ด้วย P ในสตริงการโทร ค่าตั้งต้นจากโรงงานคือ การหมุนหมายเลขโทรศัพท์ด้วยสัญญาณโทน
คำสั่ง ATVn โดยที่ n แทน 0 หรือ 1 ทำหน้าที่กำหนดว่าควรแสดงรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มด้วยรหัสที่เป็นตัวเลข (แบบย่อ) หรือตัวอักษร (แบบเต็ม) รหัสแบบตัวเลขจะประกอบด้วยตัวเลข 1 หรือ 2 ตัว และผู้ใช้จะสามารถใช้รูปแบบนี้เมื่อโปรแกรมที่ทำหน้าที่ควบคุมโมเด็มคือ โปรแกรมอีมูลเลชั่นเทอร์มินัลซอฟต์แวร์ที่ใช้แฟ้มสคริปต์ ศึกษารายการรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มแบบย่อและแบบเต็มได้จากรายละเอียดที่ปรากฏในตอนต้น
พิมพ์คำสั่ง ATV หรือ ATV0 เพื่อเลือกรหัสแบบตัวเลข ค่าตั้งต้นจากโรงงานจะแสดงรหัสเป็นตัวอักษร (ATV1) คุณอาจเลือกป้อนคำสั่ง ATV1 เพื่อรีเซ็ตค่าตั้งต้นจากโรงงานหลังจากเปลี่ยนแปลงการตั้งค่านี้ไปก่อนหน้าแล้วหรือเลือกรหัสแบบเต็ม (ตัวอักษร) ข้อความแสดงขั้นตอนการติดต่อเชื่อมโยง (รหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มแบบเพิ่มเติม) คือ ข้อความที่ประกอบด้วยค่าที่เป็นตัวเลขตั้งแต่ 40 ตัวขึ้นไป
คำสั่ง AT อีก 4 คำสั่ง พร้อมทั้งตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ 2 ตัวแปลงและค่ารีจีสเตอร์-S มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในขั้นตอนการสร้างและแสดงรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็ม คำสั่ง AT เหล่านั้นได้แก่ ATQn, ATVn, ATWn, และ ATXn ตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ ATDW และ ATD@ และค่ารีจีสเตอร์-S เป็น S95
คำสั่ง ATWn โดยที่ n แทน 0, 1, หรือ 2 จะทำงานร่วมกับรีจีสเตอร์-S เป็น S95 เพื่อทำหน้าที่กำหนดว่าควรจะใช้รหัสย่อยของรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็ม หรือที่เรียกว่า ข้อความแสดงขั้นตอนการติดต่อเชื่อมโยงหรือรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มแบบเพิ่มเติมอย่างไร เพื่อรายงานชนิดของการเชื่อมต่อ โปรโตคอลและเทคนิคการติดต่อสื่อสารอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเพื่อกำหนดสัญญาณควบคุมและการติดต่อเชื่อมโยงที่เกิดขึ้นในภายหลัง
ตัวเลือกที่จะนำมาใช้ได้ซึ่งจะแทน n ในคำสั่ง ATWn คือ:
W0
|
รหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มด้วยคำว่า "CONNECT" จะรายงานความเร็วของ DTE หากตั้งค่ารีจีสเตอร์-S เป็น S95=0 จะทำให้ฟังก์ชันรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มแบบเพิ่มเติมไม่ทำงาน
|
W1
|
รหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มด้วยคำว่า "CONNECT" จะรายงานความเร็วของ DTE หากตั้งค่ารีจีสเตอร์-S เป็น S95=0 เฉพาะรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มด้วยคำว่า "CARRIER" และ "PROTOCOL" เท่านั้นที่จะทำงาน
|
W2
|
รหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มด้วยคำว่า "CONNECT" จะรายงานความเร็วของ DCE (โมเด็ม-ถึง-โมเด็ม) หากตั้งค่ารีจีสเตอร์-S เป็น S95=0 จะทำให้ฟังก์ชันรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มแบบเพิ่มเติมทั้งหมดไม่ทำงาน
|
คำสั่ง ATXn โดยที่ n แทน 0-4 ทำหน้าที่ควบคุมวิธีที่โมเด็มจะตอบสนองต่อสัญญาณโทนและสัญญาณไม่ว่างและวิธีที่โมเด็มจะแสดงรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งด้วยคำว่า "CONNECT" ผู้ใช้สามารถระบุคำสั่ง ATXn ได้ด้วยตัวเลือกต่าง ๆ ดังต่อไปนี้:
X0
|
รหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มด้วยคำว่า "0-4" ทำงาน การตรวจสอบสัญญาณไม่ว่างและสัญญาณโทนให้หมุนหมายเลขโทรศัพท์ไม่เปิดทำงาน
|
X1
|
รหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มด้วยคำว่า "0-5" และ "10" ทำงาน การตรวจสอบสัญญาณไม่ว่างและสัญญาณโทนให้หมุนหมายเลขโทรศัพท์ไม่เปิดทำงาน
|
X2
|
รหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มด้วยคำว่า "0-6" และ "10"ทำงาน การตรวจสอบสัญญาณไม่ว่างและสัญญาณโทนให้หมุนหมายเลขโทรศัพท์เปิดทำงาน
|
X3
|
รหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มด้วยคำว่า "0-5" , "7", และ "10" เปิดทำงาน การตรวจสอบสัญญาณไม่ว่างเปิดทำงาน ขณะที่การตรวจสอบสัญญาณโทนให้หมุนหมายเลขโทรศัพท์ไม่เปิดทำงาน
|
X4
|
รหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มด้วยคำว่า "0-7" และ "10"ทำงาน การตรวจสอบสัญญาณไม่ว่างและสัญญาณโทนให้หมุนหมายเลขโทรศัพท์เปิดทำงาน
|
![]() |
ข้อควรระวัง: บางประเทศไม่อนุญาตให้ปิดการทำงานของตัวเลือกการตรวจสอบสัญญาณไม่ว่างและสัญญาณโทนให้หมุนหมายเลขโทรศัพท์ |
คำสั่ง ATYn โดยที่ n แทน 0 หรือ 1 ทำหน้าที่กำหนดว่าโมเด็มควรจะวางสายที่โทรอยู่หรือไม่เมื่อโมเด็มรับสัญญาณที่มีระยะเว้นวรรคนาน ๆ (หยุดประมาณ 1.6 วินาที) ในระหว่างการเชื่อมต่อด้วยมาตรฐาน V.22bis
Y0
|
ทำให้ตัวเลือกการวางสายหากมีระยะเว้นวรรคนาน ๆ ไม่เปิดทำงาน (สนับสนุนเฉพาะเมื่อต้องการอ้างอิงความเข้ากันได้เท่านั้น)
|
Y1
|
ทำให้ตัวเลือกการวางสายหากมีระยะเว้นวรรคนาน ๆ เปิดทำงาน (ไม่สนับสนุน)
|
คำสั่ง ATZn โดยที่ n แทน 0 จะวางทุกสายที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการเชื่อมต่อและโหลดโพรไฟล์การจัดรูปแบบผู้ใช้ที่จัดเก็บไว้ในหน่วยความจำ NVRAM ในฐานะโพรไฟล์การจัดรูปแบบที่กำลังเปิดใช้งานขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
Z0
|
วางสายและโหลดโพรไฟล์ที่อยู่ในตำแหน่งการจัดเก็บ 0 ในฐานะโพรไฟล์การจัดรูปแบบที่กำลังเปิดใช้งานขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
|
โมเด็ม Xircom มักทำการรีเทรนเสมอ ๆ คุณสมบัติการรีเทรนโดยอัตโนมัติจะปิดทำงานไม่ได้
&B0
|
ความสามารถในการรีเทรนอัตโนมัติด้วยมาตรฐาน V.32 ไม่เปิดทำงาน (ไม่สนับสนุน)
|
&B1
|
ความสามารถในการรีเทรนอัตโนมัติด้วยมาตรฐาน V.32 เปิดทำงาน (สนับสนุนเฉพาะเมื่อต้องการอ้างอิงความเข้ากันได้เท่านั้น)
|
คำสั่ง AT&Cn โดยที่ n แทน 0 หรือ 1 จะทำหน้าที่เลือกวิธีที่โมเด็มจะนำมาใช้เพื่อจัดการกับสัญญาณพาหะข้อมูล
&C0
|
มีการบีบสัญญาณพาหะโดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์ของสัญญาณพาหะของโมเด็มระยะไกล
|
&C1
|
มีการควบคุมสภาวะของสัญญาณพาหะที่ส่งมาจากโมเด็มระยะไกล สัญญาณ DCD ของโมเด็มท้องถิ่นจะเปิดทำงานเมื่อตรวจพบสัญญาณพาหะของโมเด็มระยะไกลและจะปิดทำงานเมื่อไม่สามารถตรวจพบสัญญาณดังกล่าว (ค่าตั้งต้น)
|
คำสั่ง AT&Dn โดยที่ n แทน 0-3 ทำหน้าที่ควบคุมวิธีการใช้สัญญาณเครื่องเทอร์มินัลพร้อมที่จะติดต่อกับโมเด็ม (DTR) ของโมเด็ม
&D0
|
ไม่สนใจสัญญาณ DTR ที่ส่งมาจากคอมพิวเตอร์และกำหนดว่าสัญญาณนี้เปิดทำงานอยู่ตลอดเวลา
|
&D1
|
ควบคุมสัญญาณ DTR และเมื่อเกิดกระบวนการส่งสัญญาณ DTR จาก "เปิดสู่ปิด" คำสั่ง AT นี้จะสลับไปยังโหมดคำสั่ง ป้อนรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มด้วยคำว่า "OK" และทำให้โมเด็มเชื่อมต่ออยู่เช่นนั้น
|
&D2
|
ควบคุมสัญญาณ DTR และเมื่อเกิดกระบวนการส่งสัญญาณ DTR จาก "เปิดสู่ปิด" คำสั่ง AT นี้จะทำการวางสายและสลับไปยังโหมดคำสั่ง
|
&D3
|
ควบคุมสัญญาณ DTR และเมื่อเกิดกระบวนการส่งสัญญาณ DTR จาก "เปิดสู่ปิด" คำสั่ง AT นี้จะทำการวางสาย เซ็ตโมเด็มขึ้นมาอีกครั้งและสลับไปยังสภาวะเมื่อเริ่มต้นการทำงานเป็นครั้งแรก
|
คำสั่ง AT&F จะโหลดพารามิเตอร์ค่าตั้งต้นของโรงงานจาก ROM เข้าสู่โพรไฟล์การจัดรูปแบบที่กำลังเปิดใช้งาน พร้อมทั้งแทนที่พารามิเตอร์ที่จัดเก็บไว้ในโพรไฟล์ดังกล่าว คำสั่งนี้สามารถป้อนลงในเครื่องได้ด้วยตัวของมันเอง หากใช้คำสั่งนี้ร่วมกับคำสั่ง AT อื่น ๆ ฟังก์ชันของคำสั่งนี้จะไม่ได้รับการสนใจ
&F0
|
เรียกใช้การตั้งค่าจากโรงงานในฐานะการจัดรูปแบบที่กำลังเปิดใช้งานอีกครั้งหนึ่ง
|
&F5
|
เรียกใช้การตั้งค่าจากโรงงานที่เหมาะสมสำหรับโหมด ETC อีกครั้งหนึ่งในฐานะการจัดรูปแบบที่กำลังเปิดใช้งาน คำสั่งนี้ทำให้โหมด ETC เปิดการทำงาน คำสั่งนี้จะกำหนดการตรวจสอบโทรศัพท์ระบบเซลลูล่าร์ให้โดยอัตโนมัติ ตัวเลือกต่อไปนี้จะกำหนดด้วย &F5:
|
ฟังก์ชัน
|
เครื่องมือ MTC
|
การแก้ไขข้อผิดพลาดที่เป็น LAPM เพียงอย่างเดียว
|
\N4
|
ระดับการส่งที่กำหนดตายตัวสำหรับโทรศัพท์ระบบเซลลูล่าร์
|
S92
|
รอสัญญาณพาหะ = 90 วินาที
|
S7=90
|
หน่วงเวลาการสูญเสีย CD = 10 วินาที
|
S10=100
|
ฟังก์ชัน FF/FB โดยอัตโนมัติเปิดทำงาน
|
N/A
|
เริ่มต้นที่ 9600bps
|
S40=2
|
ใช้ตัวเลือกนี้เฉพาะการใช้ระหว่างประเทศเท่านั้น ไม่ใช้ในอเมริกาเหนือ คำสั่ง AT&Gn ทำหน้าที่กำหนดว่าควรจะส่งการ์ดโทนใดขณะที่อยู่ในโหมดตอบรับ (ส่งด้วยความถี่สูง) ค่าของ n คือ 0, 1, หรือ 2 จะมีการกำหนดพารามิเตอร์นี้โดยอัตโนมัติสำหรับทุกประเทศที่ต้องการ
&G0
|
ไม่มีการกำหนดการ์ดโทน
|
&G1
|
การควบคุมการไหลของข้อมูลเป็น RTS/CTS เปิดทำงาน (ค่าตั้งต้น)
|
&G2
|
กำหนดการ์ดโทนเป็น 1800-Hz
|
&J0
|
รีเลย์สำรองจะไม่ถูกปิด
|
&J1
|
ไม่สนับสนุน (ส่งข้อความ "ERROR")
|
คำสั่ง AT&Kn โดยที่ n แทน 0-4 ทำหน้าที่กำหนดวิธีการควบคุมการไหลของข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์และโมเด็มท้องถิ่น
&K0
|
การควบคุมการไหลของข้อมูลท้องถิ่นไม่เปิดการทำงาน
|
&K3
|
การควบคุมการไหลของข้อมูลเป็น RTS/CTS เปิดทำงาน (ค่าตั้งต้น)
|
&K4
|
การควบคุมการไหลของข้อมูลเป็น XON/XOFF เปิดทำงาน
|
คำสั่ง AT&Mn โดยที่ n แทน 0-4 ทำหน้าที่กำหนดวิธีการควบคุมการไหลของข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์และโมเด็มท้องถิ่น
&M0
|
โหมดอะซินโครนัส (ค่าตั้งต้นสำหรับความเข้ากันได้เท่านั้น)
|
คำสั่ง AT&Pn โดยที่ n แทน 0, 1, หรือ 2, ทำหน้าที่ควบคุมอัตราส่วนของสภาวะพร้อมหมุนหมายเลขโทรศัพท์ (โทร) ถึงสภาวะวางหูโทรศัพท์ (หยุด) ที่โมเด็มใช้เมื่อหมุนโทรศัพท์ด้วยระบบพัลส์
&P0
|
เลือกอัตราส่วนโทร/หยุดเป็น 39:61 ที่ 10 pps (ค่าตั้งต้น - สหรัฐฯ)
|
&P1
|
เลือกอัตราส่วนโทร/หยุดเป็น 33:67 ที่ 10 pps (ค่าตั้งต้น - ญี่ปุ่น)
|
&P2
|
เลือกอัตราส่วนโทร/หยุดเป็น 33:67 ที่ 20 pps (ค่าตั้งต้น - ญี่ปุ่น)
|
&Q0
|
โหมดอะซินโครนัสถูกบัฟเฟอร์ (เหมือนกับ \N0)
|
&Q5
|
โหมดการควบคุมความผิดพลาดถูกบัฟเฟอร์ (ค่าตั้งต้น เหมือนกับ \N3)
|
&Q6
|
โหมดอะซินโครนัสถูกบัฟเฟอร์ (เหมือนกับ \N0)
|
คำสั่ง AT&Sn ทำหน้าที่ควบคุมฟังก์ชันต่าง ๆ ของวงจร DSR ในโมเด็ม
&S0
|
สัญญาณ DSR จะเปิดการทำงานอยู่ตลอดเวลาเมื่อโมเด็มเปิดทำงาน (ค่าตั้งต้น)
|
&S1
|
สัญญาณ DSR จะเปิดการทำงานในระหว่างกระบวนการเพื่อกำหนดสัญญาณควบคุมและปิดการทำงานเมื่อสูญเสียสัญญาณพาหะ
|
คำสั่ง AT&Tn อนุญาตให้ผู้ใช้ทำการทดสอบเพื่อตรวจหาข้อบกพร่องบนโมเด็ม
&T0
|
ล้มเหลว หยุดการทดสอบที่กำลังดำเนินการอยู่
|
&T1
|
วงรอบระบบอะนาล็อค การทดสอบนี้จะทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของโมเด็มรวมถึงการเชื่อมต่อระหว่างโมเด็มและคอมพิวเตอร์ โมเด็มต้องอยู่ในสภาวะคำสั่ง (ออฟไลน์) เมื่อกำลังเปิดการทดสอบนี้
|
&T3
|
การทดสอบวงรอบย้อนกลับระบบอะนาล็อค
|
&T6
|
การทดสอบวงรอบย้อนกลับระบบดิจิตอลระยะไกล การทดสอบนี้สามารถตรวจสอบความพร้อมของโมเด็มต้นทาง การลิงค์ระบบการติดต่อสื่อสารและโมเด็มระยะไกล เมื่อทำการทดสอบนี้ โมเด็มต้องอยู่ในโหมดออนไลน์ขณะที่การควบคุมการไหลของข้อมูลไม่ทำงาน
|
คำสั่ง AT&V แสดงรายละเอียดของโพรไฟล์การจัดรูปแบบที่กำลังเปิดใช้งานอยู่
คำสั่ง AT&Wn โดยที่ n แทน 0 จะช่วยให้คุณบันทึกสำเนาของโพรไฟล์การจัดรูปแบบที่กำลังเปิดใช้งานอยู่ลงใน NVRAM ผู้ใช้สามารถเรียกคืนโพรไฟล์นี้ได้ทุกเวลาด้วยการใช้คำสั่ง ATZ หรือรีเซ็ตพลังงานของโมเด็มกลับขึ้นมาใหม่
คำสั่งนี้นำมารวมไว้สำหรับความเข้ากันได้กับโปรแกรมประยุกต์ที่ใช้คำสั่ง &Y0 คำสั่งนี้จะไม่ส่งผลต่อการทำงานของโมเด็ม
&Y0
|
เลือกโพรไฟล์ที่จัดเก็บไว้ใน 0 ขณะที่รีเซ็ตพลังงานของโมเด็มกลับขึ้นมาใหม่
|
&Y1
|
ไม่สนับสนุน ส่งข้อความ "ERROR"
|
คำสั่ง AT&Zn=x จะนำมาใช้เพื่อจัดเก็บหมายเลขโทรศัพท์เพื่อโทรติดต่อในภายหลังโดยใช้คำสั่ง ATDS=n (หมุนหมายเลขโทรศัพท์ที่จัดเก็บไว้) โดยที่ n ในคำสั่งนี้จะแทน 0 หรือ 1 ซึ่งก็คือตำแหน่งที่จัดเก็บ 2 ตำแหน่งและ x คือหมายเลขโทรศัพท์ที่จัดเก็บไว้ สตริงการโทรประกอบด้วยตัวอักษรไม่เกิน 40 ตัวอักษร
คำสั่ง AT\Gn ทำหน้าที่กำหนดว่าควรใช้การควบคุมอัตราการไหลของข้อมูลแบบ XON/OFF หรือไม่
\G0
|
ส่งข้อความ "OK" สำหรับความเข้ากันได้ (ค่าตั้งต้น)
|
\G1
|
ไม่สนับสนุน ส่งข้อความ "ERROR"
|
\J0
|
ปิดคุณสมบัตินี้ (ค่าตั้งต้น)
|
\J1
|
เปิดคุณสมบัตินี้
|
คำสั่ง AT\Kn ทำหน้าที่กำหนดวิธีที่โมเด็มจะดำเนินการกับสัญญาณยุติการควบคุมที่ได้รับจาก DTE ท้องถิ่นในระหว่างการเชื่อมต่อ (ออนไลน์)
\K5
|
โมเด็มจะส่งสัญญาณหยุดให้กับโมเด็มระยะไกลเป็นลำดับพร้อมด้วยข้อมูลที่ส่ง ชนิดไม่มีข้อผิดพลาด/ไม่เร่งจังหวะ (ค่าตั้งต้น)
|
คำสั่ง AT\Nn ทำหน้าที่กำหนดชนิดของการแก้ไขข้อผิดพลาดที่ได้รับการสนับสนุนจากโมเด็มเมื่อส่งหรือรับข้อมูล
\N0
|
โหมดบัฟเฟอร์ ไม่มีการควบคุมความผิดพลาด (เหมือนกับ &Q6)
|
\N1
|
โหมดบัฟเฟอร์ (เหมือนกับ \N0)
|
\N2
|
LAPM, MNP โหมดหยุดการเชื่อมต่อ หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อว่าโหมดที่เชื่อถือได้
|
\N3
|
LAPM, MNP, หรือบัฟเฟอร์ (ค่าตั้งต้น) โมเด็มพยายามเชื่อมต่อในโหมดควบคุมความผิดพลาด LAPM หากล้มเหลว โมเด็มจะพยายามเชื่อมต่อในโหมด MNP หากยังล้มเหลวอีก โมเด็มก็จะพยายามเชื่อมต่อในโหมดบัฟเฟอร์และทำงานต่อไป หรือที่รู้จักกันในชื่อ โหมดที่เชื่อถือได้โดยอัตโนมัติด้วยมาตรฐาน V.42 (เหมือนกับ &Q5)
|
\N4
|
LAPM หรือหยุดการเชื่อมต่อ โมเด็มพยายามเชื่อมต่อในโหมดควบคุมความผิดพลาด LAPM หากล้มเหลว สายจะถูกตัด
|
\N5 | MNP หรือโหมดหยุดการเชื่อมต่อ โมเด็มพยายามเชื่อมต่อโดยใช้ขั้นตอนการควบคุมข้อผิดพลาดแบบ MNP 2-4 หากล้มเหลว โมเด็มจะตัดการเชื่อมต่อ หรือที่รู้จักกันในชื่อ โหมดที่เชื่อถือได้ MNP
|
คำสั่ง AT\Qn จะทำหน้าที่กำหนดชนิดของการควบคุมการไหลของข้อมูลที่ใช้บนพอร์ตซีเรียลเพื่อปรับความเร็วของพอร์ตโมเด็มที่แตกต่างกัน
\Q0
|
ทำให้ฟังก์ชันควบคุมการไหลของข้อมูลไม่ทำงาน (เหมือนกับ &K0)
|
\Q1
|
กำหนดฟังก์ชันควบคุมการไหลของข้อมูลเป็น XON/XOFF (เหมือนกับ &K4)
|
\Q3
|
RTS/CTS เป็น DTE (ค่าตั้งต้น เหมือนกับ &K3)
|
คำสั่ง AT\Tn ระบุช่วงเวลา (เป็นนาที) ที่โมเด็มจะรอก่อนตัดการเชื่อมต่อเมื่อไม่มีการส่งหรือรับข้อมูล ช่วงเวลากำหนดเป็น n = 0 - 255 การตั้งค่าเป็น 0 จะทำให้ตัวนับเวลาไม่ทำงาน คุณสามารถเลือกกำหนดตัวนับเวลาในรีจีสเตอร์-S เป็น S30 ฟังก์ชันนี้จะใช้ได้เฉพาะในโหมดบัฟเฟอร์
\X0
|
โมเด็มควบคุมการไหลของข้อมูลเป็น XON/XOFF ในพื้นที่ (ค่าตั้งต้น)
|
\X1
|
ไม่สนับสนุน ส่งข้อความ "ERROR"
|
หากเปิดใช้งานรายการความผิดพลาดอยู่ คำสั่ง AT%B จะแสดงหมายเลขโทรศัพท์ที่ผู้ใช้พยายามโทรในช่วง 2 ชั่วโมงสุดท้ายแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ในประเทศที่ไม่ต้องใช้รายการความผิดพลาด คำสั่งนี้จะส่งข้อความ "ERROR" กลับมายังผู้ใช้
คำสั่ง AT%Cn ทำหน้าที่กำหนดการทำงานของการบีบขนาดข้อมูลมาตรฐาน V.42bis และ MNP Class 5 การเปลี่ยนแปลงออนไลน์จะไม่เริ่มทำงานจนกว่าผู้ใช้จะหยุดการเชื่อมต่อ
%C0
|
การบีบขนาดข้อมูลด้วยมาตรฐาน V.42bis/MNP Class 5 ไม่ทำงาน (ไม่มีการบีบขนาดข้อมูล)
|
%C1
|
การบีบขนาดข้อมูลด้วยมาตรฐาน MNP Class 5 ทำงาน (ไม่ใช่ด้วยมาตรฐาน V.42bis)
|
%C2
|
การบีบขนาดข้อมูลด้วยมาตรฐาน V.42bis ทำงาน (ไม่ใช่ด้วยมาตรฐาน MNP Class 5)
|
%C3
|
การบีบขนาดข้อมูลด้วยมาตรฐาน V.42bis/MNP Class 5 ทำงาน (ค่าตั้งต้น)
|
สัญญาณโทนสำหรับสายข้อมูลคือ สัญญาณโทนที่มีคลื่นความถี่และจังหวะที่กำหนดเป็นมาตรฐาน V.25 ที่อนุญาตให้แยกแยะสายข้อมูล/แฟกซ์/สนทนาจากระยะไกล ความถี่อยู่ที่ 1300 Hz ขณะที่จังหวะตั้งเป็น 0.5 วินาทีขณะเปิดและ 2 วินาทีเมื่อปิด
-C0
|
สัญญาณโทนสำหรับสายข้อมูลไม่เปิดการทำงาน (ค่าตั้งต้น)
|
-C1
|
สัญญาณโทนสำหรับสายข้อมูลเปิดทำงาน
|
![]() |
ข้อควรระวัง: บางประเทศไม่อนุญาตให้ปิดการทำงานของสัญญาณโทนสำหรับสายข้อมูล |
ประโยค:
|
AT-V.90=<n>
|
AT-V90?
|
|
AT-V90=? |
-V90=0
|
V.90 ไม่ทำงาน
|
-V90=1
|
อัตราอัตโนมัติ V.90 ไม่ทำงาน (ค่าตั้งต้น)
|
-V90=X
|
ควบคุมอัตราดาวน์สตรีม
|
ค่าของ X
|
|
"AT-V90=X"
|
อัตราดาวน์สตรีม
|
0
|
V.90 ไม่ทำงาน
|
1 | อัตราอัตโนมัติ (ค่าตั้งต้น) |
2 | 28000 kbit/วินาที |
3 | 29333 kbit/วินาที |
4 | 30666 kbit/วินาที |
5 | 32000 kbit/วินาที |
6 | 33333 kbit/วินาที |
7 | 34666 kbit/วินาที |
8 | 36000 kbit/วินาที |
9 | 37333 kbit/วินาที |
10 | 38666 kbit/วินาที |
11 | 40000 kbit/วินาที |
12 | 41333 kbit/วินาที |
13 | 42666 kbit/วินาที |
14 | 44000 kbit/วินาที |
15 | 45333 kbit/วินาที |
16 | 46666 kbit/วินาที |
17 | 48000 kbit/วินาที |
18 | 49333 kbit/วินาที |
19 | 50666 kbit/วินาที |
20 | 52000 kbit/วินาที |
21 | 53333 kbit/วินาที |
ประโยค:
|
AT+GCI=<T.35 code>
|
AT+GCI?
|
|
AT+GCI=?
|
<T.35 code> คือ จำนวนทศนิยม 6 หลักขนาด 8 bit ที่อยู่ถัดจากประเทศในรายการด้านล่างนี้
![]() |
หมายเหตุ: แนะนำให้ใช้อรรถประโยชน์ Xircom CountrySelect สำหรับการตั้งค่าพารามิเตอร์สำหรับการโทรด้วยโมเด็ม ผู้ใช้สามารถเข้าถึงอรรถประโยชน์ CountrySelect ได้หลังจากการติดตั้ง โดยคลิกที่แถบ "เริ่ม" (Start) เลือก "โปรแกรม" (Programs) และ Xircom Utilities ทุกประเทศในรายการดังต่อไปนี้ไม่ได้รับการสนับสนุน ถ้าต้องการกำหนดประเทศที่ได้รับการสนับสนุน ให้ใช้อรรถประโยชน์ Xircom CountrySelect หรือใช้คำสั่ง AT+CGI=? คำสั่ง AT+CGI=? จะตอบสนองด้วยรหัส T.35 สำหรับประเทศที่ให้การสนับสนุน |
ประเทศ
|
<T.35 code>
|
ประเทศ
|
<T.35 code>
|
ออสเตรเลีย
|
09
|
ลักเซมเบิร์ก
|
69 |
ออสเตรีย
|
0A
|
ญี่ปุ่น
|
00 |
เกาะบาร์เบโดส
|
0E
|
เกาหลี | 61 |
เบลเยี่ยม
|
0F | มาเลเซีย
|
6C |
แคนาดา
|
20 | เนเธอร์แลนด์
|
7B |
สาธารณรัฐเชค
|
2E | นิวซีแลนด์ | 7E |
จีน
|
26 | นอรเวย์
|
82 |
เดนมาร์ก
|
31 | โปแลนด์
|
8A |
ฟินแลนด์
|
3C | โปรตุเกส
|
8B |
ฝรั่งเศส
|
3D | สาธารณรัฐสโลวาเกีย
|
2E |
เยอรมนี
|
04 | แอฟริกาใต้
|
9F |
กรีก
|
46 | สิงคโปร์
|
9C |
เกาะกวม
|
48 | สเปน
|
A0 |
ฮังการี
|
51 | สวีเดน
|
A5 |
ฮ่องกง
|
50 | สวิตเซอร์แลนด์
|
A6 |
เกาะไอซ์แลนด์
|
52 | ไต้หวัน
|
FE |
อินโดนีเซีย
|
54 | ไทย
|
A9 |
ไอร์แลนด์
|
57 | สหราชอาณาจักร
|
B4 |
อิตาลี
|
59 | สหรัฐฯ
|
B5 |
พารามิเตอร์ AT+MS ควบคุมการโมดูเลชั่นข้อมูลและอัตราการบิตที่อาจจะนำมาใช้สำหรับการติดต่อเพื่อสร้างการเชื่อมโยงระหว่างโมเด็มในพื้นที่และโมเด็มระยะไกล พารามิเตอร์นี้จะยอมรับพารามิเตอร์ย่อยอีก 4 พารามิเตอร์
ประโยค:
|
AT+MS=<carrier>,<automode>,<0>,<max_rate>,<0>,<max_rx_rate>
|
AT+MS?
|
|
AT+MS=?
|
+MS?
|
รายงานการตั้งค่าปัจจุบันของพารามิเตอร์ย่อย
|
+MS=?
|
แสดงช่วงของค่าที่ยอมรับได้สำหรับพารามิเตอร์ย่อยแต่ละพารามิเตอร์
|
<carrier>
|
ระบุพารามิเตอร์ที่ต้องการเพื่อนำมาใช้สร้างการเชื่อมต่อหรือรับการเชื่อมต่อจากโมเด็มอีกเครื่องหนึ่ง พารามิเตอร์ย่อย <carrier> คือสตริงตัวอักษรที่ยังไม่ได้นำมาอ้างอิง หากมีการระบุพารามิเตอร์ <carrier> พารามิเตอร์ย่อย อื่น ๆ จะแปลงกลับเป็นค่าตั้งต้นจากโรงงาน หากยกเว้นพารามิเตอร์ <carrier> พารามิเตอร์อื่น ๆ ที่ไม่ได้ถูกระบุก็จะรักษาค่าปัจจุบันเอาไว้ (ตัวอย่างเช่น AT+MS=,0 หรือ AT+MS=,,,2400)
|
ค่าที่พารามิเตอร์ <carrier> ยอมรับมีดังต่อไปนี้:
V21 ITU-T V.21 (300bps)
V22 ITU-T V.22 (1200bps) V22B ITU-T V.22bis (2400bps) V23C ITU-T V.23 พร้อมสัญญาณพาหะสม่ำเสมอ (1200/75 หรือ 75/1200bps) V32 ITU-T V.32 (4800 หรือ 9600bps) V32B ITU-T V.32bis (4800 - 19200bps) V34 ITU-T V.34 (2400 - 33600bps) K56 Lucent/Rockwell K56flex (32000 - 56000bps). V90C หรือ V90 (28000 - 56000bps) |
|
<automode>
|
ทำให้การสร้างการเชื่อมต่อของพารามิเตอร์ <carrier> ที่เลือกเปิดทำงานหรือปิดการทำงาน หากไม่สามารถใช้การโมดูเลชั่นที่ต้องการได้
|
ค่าที่พารามิเตอร์ <carrier> ยอมรับมีดังต่อไปนี้: 0 ไม่ทำงาน โมเด็มจะยุติการเชื่อมต่อหากไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับ<carrier> ที่กำหนดเฉพาะได้
1 เปิดทำงาน (ค่าตั้งต้น) หากไม่ปรากฏพารามิเตอร์ <carrier> ที่กำหนด โมเด็มจะพยายามติดต่อเพื่อสร้างการเชื่อมต่อกับสัญญาณพาหะที่เลือกอย่างเหมาะสม |
|
<max_rate>
|
ระบุอัตราการบิตสูงสุดที่โมเด็มอาจใช้สร้างการเชื่อมต่อ สำหรับการโมดูเลชั่นที่สนับสนุนเฉพาะอัตราการบิตที่กำหนดตายตัว (เช่น V.22bis) พารามิเตอร์ <max_rate> จะมีค่าตายตัวที่จะใช้เป็นค่าตั้งต้น หากระบุอัตราการบิตที่กำหนดเป็นตั้งต้นหรืออัตราอื่นที่ไม่ใช่ศูนย์ โมเด็มจะตอบสนองด้วยคำว่า "ERROR" พารามิเตอร์ย่อยนี้ยอมรับค่าต่าง ๆ ดังต่อไปนี้: 0, 300 (V21), 1200 (V23), 2200 (V22), 2400 (V22bis), 4800-14400 ในขั้นของ 2400 (V32), 4800-19200 ในขั้นของ 2400 (V32bis), 2400-33600 ในขั้นของ 2400 (V90.K56,V34) หากไม่ได้ระบุค่าที่แน่ชัด (กำหนดเป็น 0) ค่าของพารามิเตอร์ <max_rate> จะถูกกำหนดด้วยค่าของพารามิเตอร์ <carrier>
หากตั้งค่าพารามิเตอร์ <carrier> เป็น K56, พารามิเตอร์ย่อย <max_rate> จะคงอยู่ที่ค่าตั้งต้น (ศูนย์) |
<max_rx_rate>
|
ระบุอัตราการบิตสูงสุดที่โมเด็มอาจใช้สร้างการเชื่อมต่อ สำหรับการโมดูเลชั่นที่สนับสนุนเฉพาะอัตราการบิตที่กำหนดตายตัว (เช่น V.22bis) พารามิเตอร์ <max_rate> จะมีค่าตายตัวที่จะใช้เป็นค่าตั้งต้น หากระบุอัตราการบิตที่กำหนดเป็นตั้งต้นหรืออัตราอื่นที่ไม่ใช่ศูนย์ โมเด็มจะตอบสนองด้วยคำว่า "ERROR" พารามิเตอร์ย่อยนี้ยอมรับค่าต่าง ๆ ดังต่อไปนี้: 300 (V21), 1200 (V23), 2200 (V22), 2400 (V22bis), 4800-14400 (V32), 4800-19200 ในขั้นของ 2400 (V32bis), 2400-33600 ในขั้นของ 2400 (V34), 32000-56000 ในขั้นของ 2000 (K56), 28000-56000 ในขั้นของ 1333 (V90)
|