กลับไปที่หน้าสารบัญ

คำสั่ง AT: คู่มือสำหรับผู้ใช้ Xircomฎ CardBus Modem

คำสั่ง AT สำหรับโมเด็มคำสั่งพิเศษการอ้างถึงคำสั่ง ATรีจีสเตอร์-Sรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็ม


คำสั่ง AT สำหรับโมเด็ม

นอกจากคำสั่งพิเศษคำสั่งทุกคำสั่งต้องเริ่มต้นด้วยรหัสเตือน(หรือคำเติมหน้าคำสั่ง)ซึ่งได้แก่ตัวอักษร ATและยกเลิกได้ด้วยการกดปุ่ม Enter

โมเด็มจะตอบสนองคำสั่งต่าง ๆ ด้วยรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งด้วยคำว่า OK ซึ่งหมายความว่า โมเด็มเข้าใจและสามารถปฏิบัติตามคำสั่งนั้นหรือด้วยคำว่า ERROR ซึ่งหมายความว่า โมเด็มไม่เข้าใจคำสั่งนั้นหรือผู้ใช้พิมพ์คำสั่งผิด

ตรวจสอบให้โมเด็มอยู่ในโหมดคำสั่งเสมอเมื่อป้อนคำสั่งต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ชุดลำดับเอสเคปแบบออนไลน์ สำหรับคำสั่งที่ป้อนเข้าสู่โมเด็มในขณะที่โมเด็มอยู่ในโหมดออนไลน์ จะกลายเป็นข้อมูลและถูกส่งไปยังโมเด็มปลายทางในรูปของข้อมูลแทน

คำสั่งบางคำสั่งจะนำมาใช้ร่วมกับรีจีสเตอร์-S.


คำสั่งพิเศษ

ชุดลำดับเอสเคปแบบออนไลน์ +++

ชุดลำดับเอสเคปนำมาใช้เพื่อสลับจากโหมดออนไลน์ไปยังโหมดคำสั่งในช่วงเวลาที่ติดต่อกับโมเด็มระยะไกล พิมพ์ "เครื่องหมายบวก" (+) 3 ตัว ไม่จำเป็นต้องป้อนคำเติมหน้าคำสั่ง AT หรือใช้ปุ่ม Enter เมื่อใช้ชุดลำดับเอสเคป การตั้งค่ารีจีสเตอร์-S เป็น S2 เท่ากับกำลังกำหนดตัวอักษร ASCII ที่จะนำมาใช้ S2=43 คือค่าตั้งต้น (หรือเครื่องหมาย "+") ค่าที่ถูกต้องคือ 0 -127 ถ้าไม่ต้องการให้คำสั่งนั้นทำงาน ให้ตั้ง S2 เป็นค่าที่สูงกว่า 127 ใช้คำสั่ง ATO ("AT" และตัว "O" ในภาษาอังกฤษ) เพื่อกลับมาที่โหมดออนไลน์

แทรกระยะเว้นวรรคก่อนและหลังชุดลำดับเอสเคปเพื่อป้องกันโมเด็มตีความชุดลำดับเอสเคปว่าเป็นข้อมูล ใช้รีจีสเตอร์-S เป็น S12 เพื่อกำหนดความยาวของระยะเว้นวรรค

A/ คือ ซ้ำคำสั่งสุดท้าย

สำหรับคำสั่ง A/ นั้นมีไว้สำหรับสั่งการให้โมเด็มซ้ำสตริงคำสั่งสุดท้าย โมเด็มจะปฏิบัติตามคำสั่งทันทีที่พิมพ์เครื่องหมาย / ไม่จำเป็นต้องป้อนคำเติมหน้าคำสั่ง AT หรือกดปุ่ม Enter


การอ้างถึงคำสั่ง AT

A คือ รับสาย

การพิมพ์ ATA ทำให้โมเด็มพร้อมที่จะยกหูโทรศัพท์ขึ้นเพื่อติดต่อโมเด็มปลายทางและตอบสนองต่อสายเรียกเข้าด้วยการสร้างสัญญาณพาหะและเริ่มกระบวนการกำหนดสัญญาณควบคุม(เสียงกระชั้นถี่ของโมเด็ม) คำสั่งนี้ต้องเป็นเพียงคำสั่ง ๆ เดียวหรือคำสั่งสุดท้ายในสายคำสั่ง

หากขั้นตอนการกำหนดสัญญาณควบคุมประสบความสำเร็จและมีการเชื่อมต่อเกิดขึ้น ข้อความ CONNECT จะปรากฏ หากไม่สามารถตรวจพบสัญญาณพาหะได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดในรีจีสเตอร์-S ที่ตั้งเป็น S7 รหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งด้วยคำว่า NO CARRIER จะปรากฏ


Bn คือ เลือกมาตรฐานการติดต่อสื่อสาร
คำสั่ง ATBn ทำหน้าที่เลือกมาตรฐานการติดต่อสื่อสาร (ITU หรือ Bell) ที่โมเด็มจะนำมาใช้ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
B0
ใช้มาตรฐาน ITU V.22 ที่ 1200bps B0 เลือกมาตรฐาน ITU V.22 ที่ 1200bps และมาตรฐาน ITU V.21 ที่ 300bps
B1
ใช้มาตรฐาน Bell 212A ที่ 1200bps B1 เลือกมาตรฐาน Bell 212A ที่ 1200bps และมาตรฐาน Bell 103J ที่ 300bps
B2
ไม่เลือกช่องรีเวิร์ส V.23
B3
เลือกช่องรีเวิร์ส V.23
B15
เลือก V.21 เมื่อโมเด็มทำงานที่ 300bps (เหมือนกับ B0)
B16
เลือกมาตรฐาน Bell103J เมื่อโมเด็มทำงานที่ 300bps (เหมือนกับ B1)

กระนั้นก็ดี การตั้งค่าพารามิเตอร์คำสั่ง ATB1 และ ATB16 อาจใช้ไม่ได้ในบางประเทศ ค่าตั้งต้นเป็นค่าเฉพาะของแต่ละประเทศ


คำสั่งหยุด (เอสเคป)

ดูที่ คำสั่งพิเศษ


Cn คือ การควบคุมสัญญาณพาหะ
คำสั่ง ATCn โดยที่ n คือ 1 รับประกันถึงความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์การติดต่อสื่อสารที่ใช้ป้อนคำสั่ง C1 คำสั่ง C0 ไม่ได้รับการสนับสนุน เนื่องจากคำสั่งนี้อาจกำหนดให้โมเด็มบางเครื่อง "รับเฉพาะโหมด"
C0
สัญญาณพาหะสำหรับส่งข้อมูลปิดตลอดเวลา (ไม่สนับสนุน)
C1
สลับสัญญาณพาหะสำหรับส่งข้อมูลกลับมาที่ปกติ


Dn คือ หมุนหมายเลขโทรศัพท์

คำสั่ง ATDn จะนำมาใช้เพื่อหมุนหมายเลขโทรศัพท์ โดยที่ n แทนสตริงการโทรซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วน อันได้แก่ หมายเลขที่จะหมุน/ตัวอักษรและตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ (ดูรายละเอียดด้านล่าง) ทั้งนี้ สตริงการโทรจะต้องประกอบด้วยตัวอักษรไม่เกิน 40 ตัวอักษร การเว้นวรรค เครื่องหมายยติภังค์ (-) และเครื่องหมายวงเล็บอาจนำมาใช้เพื่อเหตุผลด้านความชัดเจน แต่โมเด็มจะไม่สนใจเครื่องหมายเหล่านี้

ผู้ใช้สามารถใช้คำสั่งหมุนหมายเลขโทรศัพท์ได้สำหรับการหมุนระบบพัลส์ (โรตารี่) หรือการหมุนด้วยสัญญาณโทน ตัวเลขและตัวอักษรสำหรับการโทรคือ 0 - 9 A B C D # * อักษร A B C D และสัญลักษณ์ # และ * แทนคู่สัญญาณพิเศษและนำมาใช้เฉพาะเมื่อเชื่อมต่อโทรศัพท์ด้วยสัญญาณโทน แต่โมเด็มจะไม่สนใจตัวอักษรและสัญลักษณ์เหล่านี้เมื่อโทรด้วยระบบพัลส์ บางประเทศจำกัดหรือห้ามใช้ตัวอักษรเหล่านี้บางตัว

ตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์

โมเด็มจะจดจำตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์เฉพาะเมื่อตัวแปลงเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของสตริงการโทรที่ผู้ใช้ป้อนหลังคำสั่ง ATD ตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ที่เป็นไปได้ประกอบด้วย:

L คือ โทรซ้ำหมายเลขสุดท้าย

โทรซ้ำหมายเลขสุดท้ายหากใช้หมายเลขดังกล่าวเป็นตัวอักษรตัวแรกต่อจากคำสั่ง ATD ไม่เช่นนั้นโมเด็มจะไม่สนใจ

P คือ วิธีหมุนหมายเลขโทรศัพท์แบบพัลส์

ตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ด้วย P จะนำมาใช้ร่วมกับคำสั่งหมุนหมายเลขโทรศัพท์เพื่อแนะนำให้โมเด็มหมุนหมายเลขโทรศัพท์ที่ตามมาด้วยระบบพัลส์

S=n คือ หมุนหมายเลขโทรศัพท์ที่จัดเก็บไว้

ตัวแปลง S จะแนะนำให้โมเด็มหมุนหมายเลขโทรศัพท์ที่จัดเก็บไว้ด้วยการใช้คำสั่ง AT&Zn=x คำสั่งเพื่อหมุนหมายเลขโทรศัพท์ที่จัดเก็บไว้คือ ATDS=n โดยที่ n แทนตำแหน่งการจัดเก็บหมายเลขโทรศัพท์เป็น 0 หรือ 1 ยกตัวอย่างเช่นคำสั่ง ATD P S=1 เท่ากับเป็นการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ที่จัดเก็บไว้ด้วยระบบพัลส์มายังตำแหน่งการจัดเก็บหมายเลขโทรศัพท์ตำแหน่งที่ 1

, คือ หน่วงเวลาการหมุนตัวอักษรตัวถัดไป

เมื่อรวมตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ด้วยเครื่องหมายจุลภาค (,) ไว้เป็นส่วนหนึ่งของสตริงการโทรต่อจากคำสั่ง ATD โมเด็มจะหยุดรอก่อนจะหมุนตัวอักษรตัวถัดไปในสตริงการโทร รีจีสเตอร์-S เป็น S8 จะกำหนดระยะเวลาในการหยุดรอ

ตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ด้วยเครือข่ายจุลภาค (,) มักถูกแทรกหลังตัวเลข (มักเป็นเลข 9) บ่อยครั้ง เพื่อรับสายนอกจากชุมสายโทรศัพท์ภายใน (PBX) เพื่อปล่อยให้เสียงสัญญาณโทนดังขึ้นช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนที่โมเด็มจะหมุนหมายเลขโทรศัพท์ ตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ด้วย W ใช้แทนเครื่องหมายจุลภาคได้

บางประเทศมีข้อจำกัดในเรื่องระยะเวลาที่โมเด็มจะหน่วงเวลาระหว่างที่หมุนหมายเลขโทรศัพท์

T คือ วิธีหมุนหมายเลขโทรศัพท์ด้วยสัญญาณโทน

ตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ด้วย T จะใช้ร่วมกับคำสั่งหมุนหมายเลขโทรศัพท์เพื่อแนะนำให้โมเด็มหมุนหมายเลขที่ตามมาด้วยสัญญาณโทน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่คำสั่ง ATT

W คือ รอสัญญาณโทนให้หมุนหมายเลขโทรศัพท์เป็นครั้งที่สอง

ตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ด้วย W แนะนำให้โมเด็มหยุดรอเสียงสัญญาณโทนก่อนหมุนตัวอักษรที่เหลือในสตริงการโทร

! คือ วางหูโทรศัพท์ชั่วคราว

ตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ด้วยเครื่องหมาย ! ทำหน้าที่เป็นสัญญาณสลับ (หรือสัญญาณวางหูโทรศัพท์ชั่วคราว) ตัวแปลงนี้ทำให้โมเด็มวางสาย (หรือเข้าสู่สภาวะวางหูโทรศัพท์) นานประมาณ 0.5 วินาทีหลังจากนั้นจึงกลับเข้าสู่สภาวะพร้อมหมุนหมายเลขโทรศัพท์ (ระยะเวลาที่โมเด็มจะเข้าสู่สภาวะวางหูโทรศัพท์ชั่วคราวจะแตกต่างกันในแต่ละประเทศ)

@ คือ รอระยะเวลาที่ไม่มีการรับสาย

ตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ด้วยเครื่องหมาย @ ในสตริงการโทรจะแนะนำให้โมเด็มรอระยะเวลาที่ไม่มีการรับสายนาน 5 วินาทีหลังจากหมุนหมายเลขโทรศัพท์ หากไม่พบสัญญาณเงียบ โมเด็มจะส่งรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มด้วยคำว่า NO ANSWER ให้กับผู้ใช้

; คือ กลับไปยังโหมดคำสั่งหลังจากหมุนหมายเลขโทรศัพท์

ตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ด้วยเครื่องหมายอัฒภาค (;) จะใช้ได้เฉพาะตรงส่วนท้ายสุดของสายคำสั่ง ก่อนกดปุ่ม Enter ตัวแปลงนี้แนะนำให้โมเด็มกลับไปยังโหมดคำสั่งทันทีหลังจากหมุนหมายเลขโทรศัพท์โดยไม่ตัดการเชื่อมต่อกับโมเด็มระยะไกล

^ คือ ปิดการทำงานของระบบส่งข้อมูลด้วยสัญญาณโทน

ตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ด้วยเครื่องหมาย ^ ในสตริงการโทรจะทำให้สัญญาณโทนเพื่อส่งข้อมูลสำหรับสายปัจจุบันไม่ทำงาน (สัญญาณโทนเพื่อหมุนหมายเลขโทรศัพท์จะเปิดทำงานโดยอัตโนมัติในหลายประเทศ) ตัวแปลงนี้ใช้ไม่ได้ในทุกประเทศ

$ คือ การตรวจหาสัญญาณเพื่อโทรด้วยบัตรเครดิต

ตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท็ด้วยเครื่องหมาย $ ในสตริงการโทรแนะนำให้โมเด็มรอเสียงสัญญาณ "บอง" เพื่อโทรด้วยบัตรเครดิตก่อนหมุนตัวอักษรที่เหลือในสตริงการโทร


En คือ สะท้อนคำสั่ง

คำสั่ง ATEn โดยที่ n แทน 0 หรือ 1 ทำหน้าที่กำหนดว่า ควรแสดง (สะท้อน) คำสั่งที่คุณป้อนด้วยแป้นคีย์ให้กับโมเด็มในโหมดคำสั่งไว้บนหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือไม่
E0
ไม่ต้องแสดงคำสั่งบนคอมพิวเตอร์
E1
แสดงคำสั่งบนคอมพิวเตอร์ (ค่าตั้งต้น)
หากคำสั่งที่คุณพิมพ์ไม่ปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นไปได้ว่า มีการตั้งซอฟต์แวร์ของคุณเพื่อให้รับคำสั่งที่สะท้อนมาจากระบบระยะไกล คุณแก้ไขได้ด้วยการพิมพ์คำสั่ง ATE1 หากคำสั่งที่คุณพิมพ์ปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์พร้อมด้วยตัวอักษรที่ปรากฏซ้ำ ๆ เช่นคำว่า LLIIKKEETTHHIISS ให้พิมพ์คำสั่ง ATE0


Hn คือ ตัวเลือกสลับการวางหูโทรศัพท์

คำสั่ง ATHn จะวางสายโมเด็มหรือเตรียมโมเด็มให้พร้อมสำหรับหมุนหมายเลขโทรศัพท์
ATH0
ทำให้โมเด็มวางหูโทรศัพท์ (ค่าตั้งต้น)
ATH1
ทำให้โมเด็มยกหูโทรศัพท์ขึ้น (ห้ามใช้คำสั่งนี้ในบางประเทศ)



In คือ ขอข้อมูลเกี่ยวกับ ID

คำสั่ง ATI มีตัวเลือกมากมายซึ่งอาจนำมาใช้เพื่อแนะนำให้โมเด็มแสดงข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับโมเด็ม
I0
แสดงข้อมูลการแก้ไขชุดคำสั่งเฟิร์มแวร์ที่ทำหน้าที่ควบคุมโมเด็ม (เหมือนกับ 13)
I1
คำนวณเช็คซัมของ ROM และแสดงข้อมูลส่วนนี้บน DTE (ตัวอย่างเช่น 12AB)
I2
ตรวจสอบ ROM พร้อมทั้งคำนวณและตรวจทานเช็คซัม ก่อนจะรายงานด้วยคำว่า OK หรือ ERROR
I3
แสดงข้อมูลการแก้ไขชุดคำสั่งเฟิร์มแวร์ของโมเด็ม
I12
ส่งคืนรหัสประเทศ (ตัวอย่างเช่น อเมริกาเหนือ)


Ln คือ ควบคุมเสียงของลำโพง

คำสั่ง ATLn โดยที่ n แทน 0, 1, 2, หรือ 3 ที่ปรากฏในข้อมูลส่วนนี้ เพื่อประโยชน์ในการอ้างอิงความเข้ากันได้เท่านั้น คอมพิวเตอร์ทำหน้าที่ควบคุมเสียงของลำโพงหน้าจอคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่โมเด็ม


Mn คือ การเลือกเปิด/ปิดลำโพง

คำสั่ง ATMn โดยที่ n แทน 0, 1, 2, หรือ 3 เปิดการทำงานหรือปิดการทำงานของระบบส่งสัญญาณเสียงจากโมเด็มไปที่ลำโพงคอมพิวเตอร์ (เพื่อให้เกิดเสียง ลำโพงคอมพิวเตอร์ต้องเปิดทำงานด้วย)
M0
เสียงลำโพงปิดอยู่ตลอดเวลา
M1
เปิดเสียงลำโพงจนกระทั่งตรวจพบสัญญาณพาหะ
M2
เสียงลำโพงเปิดเมื่อโมเด็มอยู่ในสภาวะพร้อมหมุนหมายเลขโทรศัพท์
M3
ปิดเสียงลำโพงขณะที่หมุนหมายเลขโทรศัพท์ หลังจากนั้นจึงเปิดเสียงจนกระทั่งตรวจพบสัญญาณพาหะ


Nn คือ การติดต่อตัวเลือกกระบวนการเพื่อกำหนดสัญญาณควบคุม

คำสั่ง ATNn โดยที่ n แทน 0 หรือ 1 กำหนดว่าโมเด็มต้นทางควรจะแสดงให้ผู้ใช้ทราบถึงกระบวนการติดต่อเชื่อมโยงกับโมเด็มปลายทางหากความเร็วของโมเด็มปลายทางแตกต่างจากโมเด็มต้นทางหรือไม่
N0
เมื่อทำหน้าที่สร้างการเชื่อมต่อหรือรับการเชื่อมต่อ สัญญาณการติดต่อเชื่อมโยงจะปรากฏเป็นสัญญาณมาตรฐานตามที่ระบุด้วยรีจีสเตอร์-S เป็น S37 และเมื่อผู้ใช้ได้เลือกตัวเลือกคำสั่ง ATBn ไว้แล้ว
N1
เมื่อทำหน้าที่สร้างการเชื่อมต่อหรือรับการเชื่อมต่อ สัญญาณการติดต่อเชื่อมโยงจะปรากฏเป็นสัญญาณมาตรฐานตามที่ระบุด้วยรีจีสเตอร์-S เป็น S37 และเมื่อผู้ใช้ได้เลือกตัวเลือกคำสั่ง ATBn ไว้แล้ว ในระหว่างกระบวนการกำหนดสัญญาณควบคุม โมเด็มจะถอยกลับมาที่ความเร็วต่ำลงได้หากผู้ใช้ต้องการ (ค่าตั้งต้น)


On คือ คำสั่งออนไลน์

หากสลับโมเด็มมาที่โหมดคำสั่ง การพิมพ์ในคำสั่ง ATO0 จะทำให้โมเด็มกลับมาที่โหมดออนไลน์ขณะที่ยังเชื่อมต่ออยู่
O0
แนะนำให้โมเด็มออกจากโหมดคำสั่งออนไลน์และกลับไปที่โหมดข้อมูล (ดูรายละเอียดจากชุดลำดับเอสเคป +++ ใต้หัวข้อคำสั่งพิเศษ)
O1
การตั้งค่านี้คือ การป้อนคำสั่งรีเทรนก่อนย้อนกลับมาที่โหมดข้อมูลออนไลน์
O2
การตั้งค่านี้คือ การป้อนคำสั่งการติดต่อเชื่อมโยงก่อนย้อนกลับมาที่โหมดข้อมูลออนไลน์


P คือ เลือกหมุนหมายเลชโทรศัพท์แบบพัลส์

คำสั่ง ATP แนะนำให้โมเด็มใช้ระบบพัลส์ (โรตารี่) ในการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ โหมดนี้ยังทำงานต่อไปสำหรับกระบวนการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ทั้งหมด เว้นแต่จะมีการป้อนคำสั่ง ATT หรือปรากฏตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ด้วย T ในสตริงการโทร


Qn คือ ตัวเลือกแสดงรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็ม

การตั้งค่าคำสั่ง ATQn โดยที่ n แทน 0 หรือ 1 ทำหน้าที่กำหนดว่ารหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็ม (เช่น OK, CONNECT, RING, NO CARRIER, และ ERROR) ควรปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือไม่
Q0
การแสดงรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มทำงาน
Q1
การแสดงรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มไม่ทำงาน


คำสั่งซ้ำ

ดูที่ คำสั่งพิเศษ


T คือ เลือกหมุนหมายเลขโทรศัพท์ด้วยสัญญาณโทน

คำสั่ง ATT แนะนำให้โมเด็มใช้สัญญาณโทนในการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ โหมดนี้ยังทำงานต่อไปสำหรับกระบวนการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ทั้งหมด เว้นแต่จะมีการป้อนคำสั่ง ATT หรือปรากฏตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ด้วย P ในสตริงการโทร ค่าตั้งต้นจากโรงงานคือ การหมุนหมายเลขโทรศัพท์ด้วยสัญญาณโทน


Vn คือ ตัวเลือกการจัดรูปแบบรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็ม

คำสั่ง ATVn โดยที่ n แทน 0 หรือ 1 ทำหน้าที่กำหนดว่าควรแสดงรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มด้วยรหัสที่เป็นตัวเลข (แบบย่อ) หรือตัวอักษร (แบบเต็ม) รหัสแบบตัวเลขจะประกอบด้วยตัวเลข 1 หรือ 2 ตัว และผู้ใช้จะสามารถใช้รูปแบบนี้เมื่อโปรแกรมที่ทำหน้าที่ควบคุมโมเด็มคือ โปรแกรมอีมูลเลชั่นเทอร์มินัลซอฟต์แวร์ที่ใช้แฟ้มสคริปต์ ศึกษารายการรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มแบบย่อและแบบเต็มได้จากรายละเอียดที่ปรากฏในตอนต้น

พิมพ์คำสั่ง ATV หรือ ATV0 เพื่อเลือกรหัสแบบตัวเลข ค่าตั้งต้นจากโรงงานจะแสดงรหัสเป็นตัวอักษร (ATV1) คุณอาจเลือกป้อนคำสั่ง ATV1 เพื่อรีเซ็ตค่าตั้งต้นจากโรงงานหลังจากเปลี่ยนแปลงการตั้งค่านี้ไปก่อนหน้าแล้วหรือเลือกรหัสแบบเต็ม (ตัวอักษร) ข้อความแสดงขั้นตอนการติดต่อเชื่อมโยง (รหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มแบบเพิ่มเติม) คือ ข้อความที่ประกอบด้วยค่าที่เป็นตัวเลขตั้งแต่ 40 ตัวขึ้นไป

คำสั่ง AT อีก 4 คำสั่ง พร้อมทั้งตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ 2 ตัวแปลงและค่ารีจีสเตอร์-S มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในขั้นตอนการสร้างและแสดงรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็ม คำสั่ง AT เหล่านั้นได้แก่ ATQn, ATVn, ATWn, และ ATXn ตัวแปลงการหมุนหมายเลขโทรศัพท์ ATDW และ ATD@ และค่ารีจีสเตอร์-S เป็น S95


Wn คือ การเลือกข้อความแสดงขั้นตอนการติดต่อเชื่อมโยง

คำสั่ง ATWn โดยที่ n แทน 0, 1, หรือ 2 จะทำงานร่วมกับรีจีสเตอร์-S เป็น S95 เพื่อทำหน้าที่กำหนดว่าควรจะใช้รหัสย่อยของรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็ม หรือที่เรียกว่า ข้อความแสดงขั้นตอนการติดต่อเชื่อมโยงหรือรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มแบบเพิ่มเติมอย่างไร เพื่อรายงานชนิดของการเชื่อมต่อ โปรโตคอลและเทคนิคการติดต่อสื่อสารอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเพื่อกำหนดสัญญาณควบคุมและการติดต่อเชื่อมโยงที่เกิดขึ้นในภายหลัง

ตัวเลือกที่จะนำมาใช้ได้ซึ่งจะแทน n ในคำสั่ง ATWn คือ:
W0
รหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มด้วยคำว่า "CONNECT" จะรายงานความเร็วของ DTE หากตั้งค่ารีจีสเตอร์-S เป็น S95=0 จะทำให้ฟังก์ชันรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มแบบเพิ่มเติมไม่ทำงาน
W1
รหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มด้วยคำว่า "CONNECT" จะรายงานความเร็วของ DTE หากตั้งค่ารีจีสเตอร์-S เป็น S95=0 เฉพาะรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มด้วยคำว่า "CARRIER" และ "PROTOCOL" เท่านั้นที่จะทำงาน
W2
รหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มด้วยคำว่า "CONNECT" จะรายงานความเร็วของ DCE (โมเด็ม-ถึง-โมเด็ม) หากตั้งค่ารีจีสเตอร์-S เป็น S95=0 จะทำให้ฟังก์ชันรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มแบบเพิ่มเติมทั้งหมดไม่ทำงาน


Xn คือ ตัวเลือกแสดงชนิดของรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มเป็นเซ็ต/โทร

คำสั่ง ATXn โดยที่ n แทน 0-4 ทำหน้าที่ควบคุมวิธีที่โมเด็มจะตอบสนองต่อสัญญาณโทนและสัญญาณไม่ว่างและวิธีที่โมเด็มจะแสดงรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งด้วยคำว่า "CONNECT" ผู้ใช้สามารถระบุคำสั่ง ATXn ได้ด้วยตัวเลือกต่าง ๆ ดังต่อไปนี้:
X0
รหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มด้วยคำว่า "0-4" ทำงาน การตรวจสอบสัญญาณไม่ว่างและสัญญาณโทนให้หมุนหมายเลขโทรศัพท์ไม่เปิดทำงาน
X1
รหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มด้วยคำว่า "0-5" และ "10" ทำงาน การตรวจสอบสัญญาณไม่ว่างและสัญญาณโทนให้หมุนหมายเลขโทรศัพท์ไม่เปิดทำงาน
X2
รหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มด้วยคำว่า "0-6" และ "10"ทำงาน การตรวจสอบสัญญาณไม่ว่างและสัญญาณโทนให้หมุนหมายเลขโทรศัพท์เปิดทำงาน
X3
รหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มด้วยคำว่า "0-5" , "7", และ "10" เปิดทำงาน การตรวจสอบสัญญาณไม่ว่างเปิดทำงาน ขณะที่การตรวจสอบสัญญาณโทนให้หมุนหมายเลขโทรศัพท์ไม่เปิดทำงาน
X4
รหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มด้วยคำว่า "0-7" และ "10"ทำงาน การตรวจสอบสัญญาณไม่ว่างและสัญญาณโทนให้หมุนหมายเลขโทรศัพท์เปิดทำงาน
ข้อควรระวัง ข้อควรระวัง: บางประเทศไม่อนุญาตให้ปิดการทำงานของตัวเลือกการตรวจสอบสัญญาณไม่ว่างและสัญญาณโทนให้หมุนหมายเลขโทรศัพท์


Yn คือ ตัวเลือกวางสายหากมีระยะเว้นวรรคนาน

คำสั่ง ATYn โดยที่ n แทน 0 หรือ 1 ทำหน้าที่กำหนดว่าโมเด็มควรจะวางสายที่โทรอยู่หรือไม่เมื่อโมเด็มรับสัญญาณที่มีระยะเว้นวรรคนาน ๆ (หยุดประมาณ 1.6 วินาที) ในระหว่างการเชื่อมต่อด้วยมาตรฐาน V.22bis
Y0
ทำให้ตัวเลือกการวางสายหากมีระยะเว้นวรรคนาน ๆ ไม่เปิดทำงาน (สนับสนุนเฉพาะเมื่อต้องการอ้างอิงความเข้ากันได้เท่านั้น)
Y1
ทำให้ตัวเลือกการวางสายหากมีระยะเว้นวรรคนาน ๆ เปิดทำงาน (ไม่สนับสนุน)


Zn คือ เรียกใช้ฐานข้อมูลที่จัดเก็บไว้

คำสั่ง ATZn โดยที่ n แทน 0 จะวางทุกสายที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการเชื่อมต่อและโหลดโพรไฟล์การจัดรูปแบบผู้ใช้ที่จัดเก็บไว้ในหน่วยความจำ NVRAM ในฐานะโพรไฟล์การจัดรูปแบบที่กำลังเปิดใช้งานขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
Z0
วางสายและโหลดโพรไฟล์ที่อยู่ในตำแหน่งการจัดเก็บ 0 ในฐานะโพรไฟล์การจัดรูปแบบที่กำลังเปิดใช้งานขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง


&Bn V.32 คือ ตัวเลือกการรีเทรนโดยอัตโนมัติ

โมเด็ม Xircom มักทำการรีเทรนเสมอ ๆ คุณสมบัติการรีเทรนโดยอัตโนมัติจะปิดทำงานไม่ได้
&B0
ความสามารถในการรีเทรนอัตโนมัติด้วยมาตรฐาน V.32 ไม่เปิดทำงาน (ไม่สนับสนุน)
&B1
ความสามารถในการรีเทรนอัตโนมัติด้วยมาตรฐาน V.32 เปิดทำงาน (สนับสนุนเฉพาะเมื่อต้องการอ้างอิงความเข้ากันได้เท่านั้น)


&Cn คือ ตรวจสอบสัญญาณพาหะข้อมูล (DCD)

คำสั่ง AT&Cn โดยที่ n แทน 0 หรือ 1 จะทำหน้าที่เลือกวิธีที่โมเด็มจะนำมาใช้เพื่อจัดการกับสัญญาณพาหะข้อมูล
&C0
มีการบีบสัญญาณพาหะโดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์ของสัญญาณพาหะของโมเด็มระยะไกล
&C1
มีการควบคุมสภาวะของสัญญาณพาหะที่ส่งมาจากโมเด็มระยะไกล สัญญาณ DCD ของโมเด็มท้องถิ่นจะเปิดทำงานเมื่อตรวจพบสัญญาณพาหะของโมเด็มระยะไกลและจะปิดทำงานเมื่อไม่สามารถตรวจพบสัญญาณดังกล่าว (ค่าตั้งต้น)


&Dn คือ ตัวเลือกเครื่องเทอร์มินัลพร้อมที่จะติดต่อกับโมเด็ม (DTR)

คำสั่ง AT&Dn โดยที่ n แทน 0-3 ทำหน้าที่ควบคุมวิธีการใช้สัญญาณเครื่องเทอร์มินัลพร้อมที่จะติดต่อกับโมเด็ม (DTR) ของโมเด็ม
&D0
ไม่สนใจสัญญาณ DTR ที่ส่งมาจากคอมพิวเตอร์และกำหนดว่าสัญญาณนี้เปิดทำงานอยู่ตลอดเวลา
&D1
ควบคุมสัญญาณ DTR และเมื่อเกิดกระบวนการส่งสัญญาณ DTR จาก "เปิดสู่ปิด" คำสั่ง AT นี้จะสลับไปยังโหมดคำสั่ง ป้อนรหัสรายงานการตอบสนองคำสั่งของโมเด็มด้วยคำว่า "OK" และทำให้โมเด็มเชื่อมต่ออยู่เช่นนั้น
&D2
ควบคุมสัญญาณ DTR และเมื่อเกิดกระบวนการส่งสัญญาณ DTR จาก "เปิดสู่ปิด" คำสั่ง AT นี้จะทำการวางสายและสลับไปยังโหมดคำสั่ง
&D3
ควบคุมสัญญาณ DTR และเมื่อเกิดกระบวนการส่งสัญญาณ DTR จาก "เปิดสู่ปิด" คำสั่ง AT นี้จะทำการวางสาย เซ็ตโมเด็มขึ้นมาอีกครั้งและสลับไปยังสภาวะเมื่อเริ่มต้นการทำงานเป็นครั้งแรก


&Fn คือ การตั้งค่าเพื่อโหลดจากโรงงาน

คำสั่ง AT&F จะโหลดพารามิเตอร์ค่าตั้งต้นของโรงงานจาก ROM เข้าสู่โพรไฟล์การจัดรูปแบบที่กำลังเปิดใช้งาน พร้อมทั้งแทนที่พารามิเตอร์ที่จัดเก็บไว้ในโพรไฟล์ดังกล่าว คำสั่งนี้สามารถป้อนลงในเครื่องได้ด้วยตัวของมันเอง หากใช้คำสั่งนี้ร่วมกับคำสั่ง AT อื่น ๆ ฟังก์ชันของคำสั่งนี้จะไม่ได้รับการสนใจ
&F0
เรียกใช้การตั้งค่าจากโรงงานในฐานะการจัดรูปแบบที่กำลังเปิดใช้งานอีกครั้งหนึ่ง
&F5
เรียกใช้การตั้งค่าจากโรงงานที่เหมาะสมสำหรับโหมด ETC อีกครั้งหนึ่งในฐานะการจัดรูปแบบที่กำลังเปิดใช้งาน คำสั่งนี้ทำให้โหมด ETC เปิดการทำงาน คำสั่งนี้จะกำหนดการตรวจสอบโทรศัพท์ระบบเซลลูล่าร์ให้โดยอัตโนมัติ ตัวเลือกต่อไปนี้จะกำหนดด้วย &F5:
การตั้งค่าจากโรงงาน
ฟังก์ชัน
เครื่องมือ MTC
การแก้ไขข้อผิดพลาดที่เป็น LAPM เพียงอย่างเดียว
\N4
ระดับการส่งที่กำหนดตายตัวสำหรับโทรศัพท์ระบบเซลลูล่าร์
S92
รอสัญญาณพาหะ = 90 วินาที
S7=90
หน่วงเวลาการสูญเสีย CD = 10 วินาที
S10=100
ฟังก์ชัน FF/FB โดยอัตโนมัติเปิดทำงาน
N/A
เริ่มต้นที่ 9600bps
S40=2


&Gn V.22bis คือ การเลือกการ์ดโทน

ใช้ตัวเลือกนี้เฉพาะการใช้ระหว่างประเทศเท่านั้น ไม่ใช้ในอเมริกาเหนือ คำสั่ง AT&Gn ทำหน้าที่กำหนดว่าควรจะส่งการ์ดโทนใดขณะที่อยู่ในโหมดตอบรับ (ส่งด้วยความถี่สูง) ค่าของ n คือ 0, 1, หรือ 2 จะมีการกำหนดพารามิเตอร์นี้โดยอัตโนมัติสำหรับทุกประเทศที่ต้องการ
&G0
ไม่มีการกำหนดการ์ดโทน
&G1
การควบคุมการไหลของข้อมูลเป็น RTS/CTS เปิดทำงาน (ค่าตั้งต้น)
&G2
กำหนดการ์ดโทนเป็น 1800-Hz


&Jn คือ ตัวเลือกรีเลย์สำรอง
&J0
รีเลย์สำรองจะไม่ถูกปิด
&J1
ไม่สนับสนุน (ส่งข้อความ "ERROR")

&Kn คือ ตัวเลือกการควบคุมการไหลของข้อมูลของโมเด็มท้องถิ่น

คำสั่ง AT&Kn โดยที่ n แทน 0-4 ทำหน้าที่กำหนดวิธีการควบคุมการไหลของข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์และโมเด็มท้องถิ่น
&K0
การควบคุมการไหลของข้อมูลท้องถิ่นไม่เปิดการทำงาน
&K3
การควบคุมการไหลของข้อมูลเป็น RTS/CTS เปิดทำงาน (ค่าตั้งต้น)
&K4
การควบคุมการไหลของข้อมูลเป็น XON/XOFF เปิดทำงาน


&Mn คือ โหมดการติดต่อสื่อสาร

คำสั่ง AT&Mn โดยที่ n แทน 0-4 ทำหน้าที่กำหนดวิธีการควบคุมการไหลของข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์และโมเด็มท้องถิ่น
&M0
โหมดอะซินโครนัส (ค่าตั้งต้นสำหรับความเข้ากันได้เท่านั้น)


&Pn คือ ตัวเลือกอัตราส่วนโทร-ถึง-หยุดของการหมุนหมายเลขโทรศัพท์แบบพัลส์

คำสั่ง AT&Pn โดยที่ n แทน 0, 1, หรือ 2, ทำหน้าที่ควบคุมอัตราส่วนของสภาวะพร้อมหมุนหมายเลขโทรศัพท์ (โทร) ถึงสภาวะวางหูโทรศัพท์ (หยุด) ที่โมเด็มใช้เมื่อหมุนโทรศัพท์ด้วยระบบพัลส์
&P0
เลือกอัตราส่วนโทร/หยุดเป็น 39:61 ที่ 10 pps (ค่าตั้งต้น - สหรัฐฯ)
&P1
เลือกอัตราส่วนโทร/หยุดเป็น 33:67 ที่ 10 pps (ค่าตั้งต้น - ญี่ปุ่น)
&P2
เลือกอัตราส่วนโทร/หยุดเป็น 33:67 ที่ 20 pps (ค่าตั้งต้น - ญี่ปุ่น)


&Qn คือ โหมดการติดต่อสื่อสารแบบอะซินโครนัส
&Q0
โหมดอะซินโครนัสถูกบัฟเฟอร์ (เหมือนกับ \N0)
&Q5
โหมดการควบคุมความผิดพลาดถูกบัฟเฟอร์ (ค่าตั้งต้น เหมือนกับ \N3)
&Q6
โหมดอะซินโครนัสถูกบัฟเฟอร์ (เหมือนกับ \N0)

&Sn คือ ตัวเลือกพร้อมส่งข้อมูล (DSR)

คำสั่ง AT&Sn ทำหน้าที่ควบคุมฟังก์ชันต่าง ๆ ของวงจร DSR ในโมเด็ม
&S0
สัญญาณ DSR จะเปิดการทำงานอยู่ตลอดเวลาเมื่อโมเด็มเปิดทำงาน (ค่าตั้งต้น)
&S1
สัญญาณ DSR จะเปิดการทำงานในระหว่างกระบวนการเพื่อกำหนดสัญญาณควบคุมและปิดการทำงานเมื่อสูญเสียสัญญาณพาหะ


&Tn คือ คำสั่งทดสอบตัวเอง

คำสั่ง AT&Tn อนุญาตให้ผู้ใช้ทำการทดสอบเพื่อตรวจหาข้อบกพร่องบนโมเด็ม
&T0
ล้มเหลว หยุดการทดสอบที่กำลังดำเนินการอยู่
&T1
วงรอบระบบอะนาล็อค การทดสอบนี้จะทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของโมเด็มรวมถึงการเชื่อมต่อระหว่างโมเด็มและคอมพิวเตอร์ โมเด็มต้องอยู่ในสภาวะคำสั่ง (ออฟไลน์) เมื่อกำลังเปิดการทดสอบนี้
&T3
การทดสอบวงรอบย้อนกลับระบบอะนาล็อค
&T6
การทดสอบวงรอบย้อนกลับระบบดิจิตอลระยะไกล การทดสอบนี้สามารถตรวจสอบความพร้อมของโมเด็มต้นทาง การลิงค์ระบบการติดต่อสื่อสารและโมเด็มระยะไกล เมื่อทำการทดสอบนี้ โมเด็มต้องอยู่ในโหมดออนไลน์ขณะที่การควบคุมการไหลของข้อมูลไม่ทำงาน


&V คือ ดูโพรไฟล์การจัดรูปแบบ

คำสั่ง AT&V แสดงรายละเอียดของโพรไฟล์การจัดรูปแบบที่กำลังเปิดใช้งานอยู่


&Wn คือ เขียนโพรไฟล์ที่กำลังเปิดใช้งานลงไปที่หน่วยความจำ

คำสั่ง AT&Wn โดยที่ n แทน 0 จะช่วยให้คุณบันทึกสำเนาของโพรไฟล์การจัดรูปแบบที่กำลังเปิดใช้งานอยู่ลงใน NVRAM ผู้ใช้สามารถเรียกคืนโพรไฟล์นี้ได้ทุกเวลาด้วยการใช้คำสั่ง ATZ หรือรีเซ็ตพลังงานของโมเด็มกลับขึ้นมาใหม่


&Yn คือ เลือกโพรไฟล์ที่จัดเก็บไว้สำหรับการรีเซ็ต

คำสั่งนี้นำมารวมไว้สำหรับความเข้ากันได้กับโปรแกรมประยุกต์ที่ใช้คำสั่ง &Y0 คำสั่งนี้จะไม่ส่งผลต่อการทำงานของโมเด็ม
&Y0
เลือกโพรไฟล์ที่จัดเก็บไว้ใน 0 ขณะที่รีเซ็ตพลังงานของโมเด็มกลับขึ้นมาใหม่
&Y1
ไม่สนับสนุน ส่งข้อความ "ERROR"


&Zn=x คือ จัดเก็บหมายเลขโทรศัพท์

คำสั่ง AT&Zn=x จะนำมาใช้เพื่อจัดเก็บหมายเลขโทรศัพท์เพื่อโทรติดต่อในภายหลังโดยใช้คำสั่ง ATDS=n (หมุนหมายเลขโทรศัพท์ที่จัดเก็บไว้) โดยที่ n ในคำสั่งนี้จะแทน 0 หรือ 1 ซึ่งก็คือตำแหน่งที่จัดเก็บ 2 ตำแหน่งและ x คือหมายเลขโทรศัพท์ที่จัดเก็บไว้ สตริงการโทรประกอบด้วยตัวอักษรไม่เกิน 40 ตัวอักษร


\Gn คือ การควบคุมการไหลของข้อมูลบนพอร์ตโมเด็ม

คำสั่ง AT\Gn ทำหน้าที่กำหนดว่าควรใช้การควบคุมอัตราการไหลของข้อมูลแบบ XON/OFF หรือไม่
\G0
ส่งข้อความ "OK" สำหรับความเข้ากันได้ (ค่าตั้งต้น)
\G1
ไม่สนับสนุน ส่งข้อความ "ERROR"


\Jn คือ ปรับอัตราการควบคุมเป็น BPS
\J0
ปิดคุณสมบัตินี้ (ค่าตั้งต้น)
\J1
เปิดคุณสมบัตินี้

\Kn คือ ยุติการควบคุม

คำสั่ง AT\Kn ทำหน้าที่กำหนดวิธีที่โมเด็มจะดำเนินการกับสัญญาณยุติการควบคุมที่ได้รับจาก DTE ท้องถิ่นในระหว่างการเชื่อมต่อ (ออนไลน์)
\K5
โมเด็มจะส่งสัญญาณหยุดให้กับโมเด็มระยะไกลเป็นลำดับพร้อมด้วยข้อมูลที่ส่ง ชนิดไม่มีข้อผิดพลาด/ไม่เร่งจังหวะ (ค่าตั้งต้น)


\Nn คือ การเลือกโหมดควบคุมความผิดพลาด

คำสั่ง AT\Nn ทำหน้าที่กำหนดชนิดของการแก้ไขข้อผิดพลาดที่ได้รับการสนับสนุนจากโมเด็มเมื่อส่งหรือรับข้อมูล
\N0
โหมดบัฟเฟอร์ ไม่มีการควบคุมความผิดพลาด (เหมือนกับ &Q6)
\N1
โหมดบัฟเฟอร์ (เหมือนกับ \N0)
\N2
LAPM, MNP โหมดหยุดการเชื่อมต่อ หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อว่าโหมดที่เชื่อถือได้
\N3
LAPM, MNP, หรือบัฟเฟอร์ (ค่าตั้งต้น) โมเด็มพยายามเชื่อมต่อในโหมดควบคุมความผิดพลาด LAPM หากล้มเหลว โมเด็มจะพยายามเชื่อมต่อในโหมด MNP หากยังล้มเหลวอีก โมเด็มก็จะพยายามเชื่อมต่อในโหมดบัฟเฟอร์และทำงานต่อไป หรือที่รู้จักกันในชื่อ โหมดที่เชื่อถือได้โดยอัตโนมัติด้วยมาตรฐาน V.42 (เหมือนกับ &Q5)
\N4
LAPM หรือหยุดการเชื่อมต่อ โมเด็มพยายามเชื่อมต่อในโหมดควบคุมความผิดพลาด LAPM หากล้มเหลว สายจะถูกตัด
\N5
MNP หรือโหมดหยุดการเชื่อมต่อ โมเด็มพยายามเชื่อมต่อโดยใช้ขั้นตอนการควบคุมข้อผิดพลาดแบบ MNP 2-4 หากล้มเหลว โมเด็มจะตัดการเชื่อมต่อ หรือที่รู้จักกันในชื่อ โหมดที่เชื่อถือได้ MNP


\Qn คือ การเลือกการควบคุมการไหลของข้อมูลในพื้นที่

คำสั่ง AT\Qn จะทำหน้าที่กำหนดชนิดของการควบคุมการไหลของข้อมูลที่ใช้บนพอร์ตซีเรียลเพื่อปรับความเร็วของพอร์ตโมเด็มที่แตกต่างกัน
\Q0
ทำให้ฟังก์ชันควบคุมการไหลของข้อมูลไม่ทำงาน (เหมือนกับ &K0)
\Q1
กำหนดฟังก์ชันควบคุมการไหลของข้อมูลเป็น XON/XOFF (เหมือนกับ &K4)
\Q3
RTS/CTS เป็น DTE (ค่าตั้งต้น เหมือนกับ &K3)


\Tn คือ ตัวนับเวลาหยุดทำงานก่อนตัดการเชื่อมต่อ

คำสั่ง AT\Tn ระบุช่วงเวลา (เป็นนาที) ที่โมเด็มจะรอก่อนตัดการเชื่อมต่อเมื่อไม่มีการส่งหรือรับข้อมูล ช่วงเวลากำหนดเป็น n = 0 - 255 การตั้งค่าเป็น 0 จะทำให้ตัวนับเวลาไม่ทำงาน คุณสามารถเลือกกำหนดตัวนับเวลาในรีจีสเตอร์-S เป็น S30 ฟังก์ชันนี้จะใช้ได้เฉพาะในโหมดบัฟเฟอร์


\Xn XON/XOFF คือ การติดต่อได้
\X0
โมเด็มควบคุมการไหลของข้อมูลเป็น XON/XOFF ในพื้นที่ (ค่าตั้งต้น)
\X1
ไม่สนับสนุน ส่งข้อความ "ERROR"

%B คือ ดูหมายเลขโทรศัพท์ในรายการความผิดพลาด

หากเปิดใช้งานรายการความผิดพลาดอยู่ คำสั่ง AT%B จะแสดงหมายเลขโทรศัพท์ที่ผู้ใช้พยายามโทรในช่วง 2 ชั่วโมงสุดท้ายแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ในประเทศที่ไม่ต้องใช้รายการความผิดพลาด คำสั่งนี้จะส่งข้อความ "ERROR" กลับมายังผู้ใช้


%Cn คือ ควบคุมการบีบขนาดข้อมูล

คำสั่ง AT%Cn ทำหน้าที่กำหนดการทำงานของการบีบขนาดข้อมูลมาตรฐาน V.42bis และ MNP Class 5 การเปลี่ยนแปลงออนไลน์จะไม่เริ่มทำงานจนกว่าผู้ใช้จะหยุดการเชื่อมต่อ
%C0
การบีบขนาดข้อมูลด้วยมาตรฐาน V.42bis/MNP Class 5 ไม่ทำงาน (ไม่มีการบีบขนาดข้อมูล)
%C1
การบีบขนาดข้อมูลด้วยมาตรฐาน MNP Class 5 ทำงาน (ไม่ใช่ด้วยมาตรฐาน V.42bis)
%C2
การบีบขนาดข้อมูลด้วยมาตรฐาน V.42bis ทำงาน (ไม่ใช่ด้วยมาตรฐาน MNP Class 5)
%C3
การบีบขนาดข้อมูลด้วยมาตรฐาน V.42bis/MNP Class 5 ทำงาน (ค่าตั้งต้น)


-Cn คือ สัญญาณโทนสำหรับสายข้อมูล

สัญญาณโทนสำหรับสายข้อมูลคือ สัญญาณโทนที่มีคลื่นความถี่และจังหวะที่กำหนดเป็นมาตรฐาน V.25 ที่อนุญาตให้แยกแยะสายข้อมูล/แฟกซ์/สนทนาจากระยะไกล ความถี่อยู่ที่ 1300 Hz ขณะที่จังหวะตั้งเป็น 0.5 วินาทีขณะเปิดและ 2 วินาทีเมื่อปิด
-C0
สัญญาณโทนสำหรับสายข้อมูลไม่เปิดการทำงาน (ค่าตั้งต้น)
-C1
สัญญาณโทนสำหรับสายข้อมูลเปิดทำงาน
ข้อควรระวัง ข้อควรระวัง: บางประเทศไม่อนุญาตให้ปิดการทำงานของสัญญาณโทนสำหรับสายข้อมูล


+V90n คือ การตั้งค่า V.90 ทำงาน/ไม่ทำงาน
ประโยค:
AT-V.90=<n>

AT-V90?

AT-V90=?
คำสั่งนี้จะทำให้มาตรฐาน V.90 ทำงานหรือไม่ทำงานและเปลี่ยนอัตราการไหลของข้อมูลต่อไปนี้:
-V90=0
V.90 ไม่ทำงาน
-V90=1
อัตราอัตโนมัติ V.90 ไม่ทำงาน (ค่าตั้งต้น)
-V90=X
ควบคุมอัตราดาวน์สตรีม
ค่าของ X
"AT-V90=X"
อัตราดาวน์สตรีม
0
V.90 ไม่ทำงาน
1 อัตราอัตโนมัติ (ค่าตั้งต้น)
2 28000 kbit/วินาที
3 29333 kbit/วินาที
4 30666 kbit/วินาที
5 32000 kbit/วินาที
6 33333 kbit/วินาที
7 34666 kbit/วินาที
8 36000 kbit/วินาที
9 37333 kbit/วินาที
10 38666 kbit/วินาที
11 40000 kbit/วินาที
12 41333 kbit/วินาที
13 42666 kbit/วินาที
14 44000 kbit/วินาที
15 45333 kbit/วินาที
16 46666 kbit/วินาที
17 48000 kbit/วินาที
18 49333 kbit/วินาที
19 50666 kbit/วินาที
20 52000 kbit/วินาที
21 53333 kbit/วินาที


+GCI คือ การเลือกประเทศ
ประโยค:
AT+GCI=<T.35 code>

AT+GCI?

AT+GCI=?
คำสั่งนี้ทำหน้าที่จัดรูปแบบโมเด็มสำหรับประเทศที่ใช้ การเลือกพารามิเตอร์สำหรับทำงานและการยืนยันตามเงื่อนไขของเครือข่ายโทรศัพท์ของประเทศที่เลือก พารามิเตอร์ +GCI อาจจะเปลี่ยนแปลงเฉพาะเมื่อโมเด็มอยู่ในสภาวะว่าง

<T.35 code> คือ จำนวนทศนิยม 6 หลักขนาด 8 bit ที่อยู่ถัดจากประเทศในรายการด้านล่างนี้
หมายเหตุ หมายเหตุ: แนะนำให้ใช้อรรถประโยชน์ Xircom CountrySelect สำหรับการตั้งค่าพารามิเตอร์สำหรับการโทรด้วยโมเด็ม ผู้ใช้สามารถเข้าถึงอรรถประโยชน์ CountrySelect ได้หลังจากการติดตั้ง โดยคลิกที่แถบ "เริ่ม" (Start) เลือก "โปรแกรม" (Programs) และ Xircom Utilities ทุกประเทศในรายการดังต่อไปนี้ไม่ได้รับการสนับสนุน ถ้าต้องการกำหนดประเทศที่ได้รับการสนับสนุน ให้ใช้อรรถประโยชน์ Xircom CountrySelect หรือใช้คำสั่ง AT+CGI=? คำสั่ง AT+CGI=? จะตอบสนองด้วยรหัส T.35 สำหรับประเทศที่ให้การสนับสนุน
ถ้าต้องการกำหนดการตั้งค่าประเทศที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ให้ใช้คำสั่ง AT+GCI? คำสั่งจะตอบสนองด้วยรหัส T.35 สำหรับประเทศที่เลือก ถ้าต้องการเปลี่ยนการเลือกประเทศที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ให้ใช้คำสั่ง AT+GCI=<T.35 code>
ประเทศ
<T.35 code>
ประเทศ
<T.35 code>
ออสเตรเลีย
09
ลักเซมเบิร์ก
69
ออสเตรีย
0A
ญี่ปุ่น
00
เกาะบาร์เบโดส
0E
เกาหลี 61
เบลเยี่ยม
0F
มาเลเซีย
6C
แคนาดา
20
เนเธอร์แลนด์
7B
สาธารณรัฐเชค
2E นิวซีแลนด์ 7E
จีน
26
นอรเวย์
82
เดนมาร์ก
31
โปแลนด์
8A
ฟินแลนด์
3C
โปรตุเกส
8B
ฝรั่งเศส
3D
สาธารณรัฐสโลวาเกีย
2E
เยอรมนี
04
แอฟริกาใต้
9F
กรีก
46
สิงคโปร์
9C
เกาะกวม
48
สเปน
A0
ฮังการี
51
สวีเดน
A5
ฮ่องกง
50
สวิตเซอร์แลนด์
A6
เกาะไอซ์แลนด์
52
ไต้หวัน
FE
อินโดนีเซีย
54
ไทย
A9
ไอร์แลนด์
57
สหราชอาณาจักร
B4
อิตาลี
59
สหรัฐฯ
B5


การเลือกโมดูเลชั่น +MS

พารามิเตอร์ AT+MS ควบคุมการโมดูเลชั่นข้อมูลและอัตราการบิตที่อาจจะนำมาใช้สำหรับการติดต่อเพื่อสร้างการเชื่อมโยงระหว่างโมเด็มในพื้นที่และโมเด็มระยะไกล พารามิเตอร์นี้จะยอมรับพารามิเตอร์ย่อยอีก 4 พารามิเตอร์
ประโยค:
AT+MS=<carrier>,<automode>,<0>,<max_rate>,<0>,<max_rx_rate>

AT+MS?

AT+MS=?
+MS?
รายงานการตั้งค่าปัจจุบันของพารามิเตอร์ย่อย
+MS=?
แสดงช่วงของค่าที่ยอมรับได้สำหรับพารามิเตอร์ย่อยแต่ละพารามิเตอร์
<carrier>
ระบุพารามิเตอร์ที่ต้องการเพื่อนำมาใช้สร้างการเชื่อมต่อหรือรับการเชื่อมต่อจากโมเด็มอีกเครื่องหนึ่ง พารามิเตอร์ย่อย <carrier> คือสตริงตัวอักษรที่ยังไม่ได้นำมาอ้างอิง หากมีการระบุพารามิเตอร์ <carrier> พารามิเตอร์ย่อย อื่น ๆ จะแปลงกลับเป็นค่าตั้งต้นจากโรงงาน หากยกเว้นพารามิเตอร์ <carrier> พารามิเตอร์อื่น ๆ ที่ไม่ได้ถูกระบุก็จะรักษาค่าปัจจุบันเอาไว้ (ตัวอย่างเช่น AT+MS=,0 หรือ AT+MS=,,,2400)

ค่าที่พารามิเตอร์ <carrier> ยอมรับมีดังต่อไปนี้:
V21 ITU-T V.21 (300bps)
V22 ITU-T V.22 (1200bps)
V22B ITU-T V.22bis (2400bps)
V23C ITU-T V.23 พร้อมสัญญาณพาหะสม่ำเสมอ (1200/75 หรือ 75/1200bps)
V32 ITU-T V.32 (4800 หรือ 9600bps)
V32B ITU-T V.32bis (4800 - 19200bps)
V34 ITU-T V.34 (2400 - 33600bps)
K56 Lucent/Rockwell K56flex (32000 - 56000bps).
V90C หรือ V90 (28000 - 56000bps)
<automode>
ทำให้การสร้างการเชื่อมต่อของพารามิเตอร์ <carrier> ที่เลือกเปิดทำงานหรือปิดการทำงาน หากไม่สามารถใช้การโมดูเลชั่นที่ต้องการได้

ค่าที่พารามิเตอร์ <carrier> ยอมรับมีดังต่อไปนี้:
0 ไม่ทำงาน โมเด็มจะยุติการเชื่อมต่อหากไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับ<carrier> ที่กำหนดเฉพาะได้
1 เปิดทำงาน (ค่าตั้งต้น) หากไม่ปรากฏพารามิเตอร์ <carrier> ที่กำหนด โมเด็มจะพยายามติดต่อเพื่อสร้างการเชื่อมต่อกับสัญญาณพาหะที่เลือกอย่างเหมาะสม
<max_rate>
ระบุอัตราการบิตสูงสุดที่โมเด็มอาจใช้สร้างการเชื่อมต่อ สำหรับการโมดูเลชั่นที่สนับสนุนเฉพาะอัตราการบิตที่กำหนดตายตัว (เช่น V.22bis) พารามิเตอร์ <max_rate> จะมีค่าตายตัวที่จะใช้เป็นค่าตั้งต้น หากระบุอัตราการบิตที่กำหนดเป็นตั้งต้นหรืออัตราอื่นที่ไม่ใช่ศูนย์ โมเด็มจะตอบสนองด้วยคำว่า "ERROR" พารามิเตอร์ย่อยนี้ยอมรับค่าต่าง ๆ ดังต่อไปนี้: 0, 300 (V21), 1200 (V23), 2200 (V22), 2400 (V22bis), 4800-14400 ในขั้นของ 2400 (V32), 4800-19200 ในขั้นของ 2400 (V32bis), 2400-33600 ในขั้นของ 2400 (V90.K56,V34) หากไม่ได้ระบุค่าที่แน่ชัด (กำหนดเป็น 0) ค่าของพารามิเตอร์ <max_rate> จะถูกกำหนดด้วยค่าของพารามิเตอร์ <carrier>
หากตั้งค่าพารามิเตอร์ <carrier> เป็น K56, พารามิเตอร์ย่อย <max_rate> จะคงอยู่ที่ค่าตั้งต้น (ศูนย์)
<max_rx_rate>
ระบุอัตราการบิตสูงสุดที่โมเด็มอาจใช้สร้างการเชื่อมต่อ สำหรับการโมดูเลชั่นที่สนับสนุนเฉพาะอัตราการบิตที่กำหนดตายตัว (เช่น V.22bis) พารามิเตอร์ <max_rate> จะมีค่าตายตัวที่จะใช้เป็นค่าตั้งต้น หากระบุอัตราการบิตที่กำหนดเป็นตั้งต้นหรืออัตราอื่นที่ไม่ใช่ศูนย์ โมเด็มจะตอบสนองด้วยคำว่า "ERROR" พารามิเตอร์ย่อยนี้ยอมรับค่าต่าง ๆ ดังต่อไปนี้: 300 (V21), 1200 (V23), 2200 (V22), 2400 (V22bis), 4800-14400 (V32), 4800-19200 ในขั้นของ 2400 (V32bis), 2400-33600 ในขั้นของ 2400 (V34), 32000-56000 ในขั้นของ 2000 (K56), 28000-56000 ในขั้นของ 1333 (V90)





กลับไปที่หน้าสารบัญ